ความสำเร็จจากผลิตภัณฑ์หมอนยางพาราเพื่อสุขภาพ ที่สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อน จำกัด อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ได้พลิกวิกฤติช่วงราคายางตกต่ำ จากที่เคยรับซื้อยางแผ่นและยางก้อนถ้วยจากสมาชิกเพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้ผลิตหมอนยางพาราเพื่อสุขภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้สมาชิกมีรายได้มากขึ้น ทั้งจากการขายน้ำยางดิบและรายได้เสริมจากการเข้ามารับจ้างเป็นแรงงานผลิตหมอนยางพารากับทางสหกรณ์ฯ และเพื่อให้สมาชิกมีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง สหกรณ์ฯจึงเดินหน้ามุ่งขยายงานด้านการแปรรูปเพิ่มขึ้น ด้วยการเข้าร่วม“โครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ” โดยความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมทางหลวงชนบท
นายนิพนธ์ เลาห์กิติกูล ประธานสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อน จำกัด เล่าว่า ปัจจุบันสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อน จำกัด มีสมาชิก 109 รายธุรกิจหลักของสหกรณ์ฯในขณะนี้คือ การรวบรวมน้ำยางดิบจากเกษตรกรสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่ มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หมอนยางพารา (Natural Latex Pillow) จัดจำหน่ายไปสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศจุดเด่นของสหกรณ์ฯ คือเป็นจุดศูนย์กลางรวบรวมและแปรรูปผลิตน้ำยางพาราแบบครบวงจรของชุมชนขณะนี้ สหกรณ์ฯ ได้ต่อยอดพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพารา โดยเข้าร่วม “โครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์กับกรมทางหลวงชนบท ผลิตแผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และเสาหลักนำทางจากยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP)สำหรับนำไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยทางถนน
เบื้องต้นสหกรณ์ฯเข้าร่วมโครงการ ในส่วนผลิตเสาหลักนำทางจากยางธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเป็นการชิมลางก่อน โดยมีกำลังการผลิตเฉลี่ยวันละ 19 ต้น ผลิตไปแล้วประมาณ 200 ต้น ต้นทุนการผลิตต้นละประมาณ 1,200 บาท ใช้น้ำยางข้นในการผลิตประมาณ 19 กิโลกรัม/ต้นและนำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วไปใช้จริงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้ดำเนินการรับซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบให้กรมทางหลวงชนบทนำไปติดตั้งในพื้นที่ต่างๆต่อไป
สำหรับโครงการนี้ จะดำเนินการระหว่างปี 2563-2565 กระทรวงคมนาคมได้กำหนดแผนความต้องการใช้ยางพาราตามมติคณะรัฐมนตรี แบ่งเป็นเสาหลักนำทางยางพารา 1,063,651 ต้น และแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต ความยาวรวม 12,282 กิโลเมตร โดยในปี 2563 นี้ กระทรวงคมนาคมต้องการเสาหลักนำทางยางพาราชุดแรก 289,635 ต้น จากการสำรวจพบสหกรณ์ที่พร้อมผลิตเสาหลักนำทาง 10 แห่ง และแผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต 7 แห่ง โดยสหกรณ์ที่พร้อมชุดแรกนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะได้เข้าไปช่วยเหลือเรื่องถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตเสาหลักนำทาง และแผ่นธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน ในส่วนสหกรณ์ที่ทำธุรกิจรวบรวมน้ำยางพาราแห่งอื่นที่อาจยังไม่มีความพร้อมผลิตสามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยเป็นเครือข่ายป้อนวัตถุดิบน้ำยางข้นให้สหกรณ์ผู้ผลิตที่จะรับซื้อในราคานำตลาด ส่วนราคาที่กระทรวงคมนาคมทำสัญญารับซื้อจะเป็นไปตามราคาน้ำยางสด FOB ซึ่งเป็นราคาที่ยุติธรรม
“การดำเนินกิจการของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อน จำกัด ประสบความสำเร็จและผ่านวิกฤติมาได้ เพราะความร่วมมือกันของสมาชิกและคณะกรรมการสหกรณ์ โดยสหกรณ์จะให้ความสำคัญกับการประกอบอาชีพของสมาชิก ส่งเสริมให้สมาชิกวางแผนการผลิตควบคู่ไปกับการวางแผนด้านการตลาดและร่วมพัฒนาแปรรูปผลผลิตน้ำยางพาราเพิ่มมูลค่า เพิ่มช่องทางการตลาด มีทิศทางขับเคลื่อนภายใต้การใช้ระบบตลาดนำการผลิตเพื่อแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายนิพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย
อีกบรรทัดฐานหนึ่งของการทำงานของคนญี่ปุ่นที่ผมจะกล่าวต่อไป ความจริงก็แทบจะไม่ต่างจากบรรทัดฐานเดิมที่ผมได้เสนอท่านผู้อ่านไปเมื่อครั้งที่แล้ว คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ท่าที” เหมือนกัน แต่วันนี้จะเน้นความต่างจากของเดิมซึ่งได้แก่การกำหนดท่าทีที่ชัดเจน ตรงที่เขามีการกำหนดท่าทีไว้ “ล่วงหน้าอย่างแท้จริง” แต่ก่อนที่จะเขียนต่อไป มีหลายท่านสงสัยคำว่า “ท่าที” ที่ผมยกมาว่ามันคืออะไรกันแน่ ดังนั้น ขออธิบายสั้นๆ ก่อนครับว่า “ท่าที”น่าจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า attitude หรือ position หรือ stance อันหมายถึงปฏิกิริยาหรือแนวทางการสนองตอบของฝ่ายหนึ่ง ที่มีต่อนโยบาย ข้อเสนอ หรือมติการดำเนินงานของอีกฝ่ายหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 และน่าจะทำให้เกิดวิกฤติด้านความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น จึงได้มีการเสนอว่าสมาชิกแอปเตอร์ควรที่จะมีการบริจาคข้าวเพิ่มขึ้น กรณีเช่นนี้ ประเทศไทยเรา หรือแต่ละประเทศสมาชิก จะกำหนด attitude หรือ position หรือ stance หรือ “ท่าที” ต่อกรณีดังกล่าวอย่างไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
ผมชมเชยทางการญี่ปุ่นในเรื่องนี้มาก เพราะจากประสบการณ์ที่เห็น ไม่ว่าแอปเตอร์จะเคลื่อนไหวไปอย่างไร จะเล็กน้อยจนแทบจะไม่เห็นความสำคัญเลย หรือยิ่งใหญ่ปานว่าขุนเขา กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่นไม่เคยละเว้นที่จะเก็บเอาไปพิจารณากำหนด “ท่าที” ทุกประเด็น และที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง ก็คือ เขาทำก่อนเหตุการณ์จะเกิดหรือทำล่วงหน้าทุกครั้งนั่นเอง โดยเขาพยายามเกาะติดสถานการณ์และมองไปข้างหน้า สแกนทุกอย่างและก็เตรียมกำหนดท่าทีในเรื่องนั้นๆ ไว้ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะเกิดขึ้น นั่นหมายถึงไม่ต้องรีรอให้เกิดเรื่องเสียก่อนแล้วจึงมาหาวิธีแก้ไขสนองตอบภายหลัง หลายท่านอาจเถียงผมว่า ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องวิเศษลึกซึ้งแต่ประการใดอีกเช่นกัน เพราะยุทธวิธีแบบนี้ใครๆ ก็ทราบ แต่ผมก็ขอเถียงกลับว่า จริงครับ มันเป็นเรื่องตื้นๆ ที่ใครๆ ก็น่าจะรู้ ทว่า เท่าที่เห็น มันมีการกระทำจริงแบบนั้นน้อยมากในที่อื่นๆ และเท่าที่เห็นในบางแห่งบางประเทศ มักปล่อยปะละเลยไม่สนอกสนใจที่จะคิดทำกัน ส่วนมากถือว่าธุระไม่ใช่ จนในที่สุดก็เกิดปัญหาขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็จะโทษกันไปมามากกว่าจะร่วมกันหาวิธีการแก้ไข สุดท้ายสังคมก็เดือดร้อนยุ่งเหยิง ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการ
ตัวอย่างปัญหาที่ใกล้ตัวและเห็นมาตลอดในบางประเทศ (น่าจะไม่ใช่ประเทศไทยนะครับ) คือ กรณีมีคนบุกรุกที่สาธารณะเป็นที่อยู่อาศัย เริ่มแรกก็มาคนเดียวหรือสองสามคน แทนที่ผู้รักษากฎหมายจะเร่งจัดการเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่กลับเฉยเสีย ไม่มีใครเลยที่สนใจจะแก้ไขเชิญเขาออกไป จึงทำให้คนอื่นๆ ได้ใจและทยอยเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นกันว่าอยู่ได้ ไม่มีใครมาห้าม ทีนี้ก็กลายเป็นชุมชนผู้บุกรุกกลุ่มใหญ่ ถึงตอนนี้ก็ยากละครับที่จะแก้ไขเชิญพวกเขาออกไป กลับกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ลักษณะบรรทัดฐานแบบนี้ถ้าเป็นในประเทศญี่ปุ่นแล้ว เขาไม่มีทางยอมตั้งแต่เริ่มต้น เพราะอะไรๆ ที่ส่อว่าจะเกิดปัญหาในอนาคตไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ไม่มีวันลอดหูลอดตาทางการญี่ปุ่นไปได้ จริงๆ แล้วระบบของฝรั่งก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน เพราะเขาถือว่าความเป็นไปของสังคมนั้นทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบ ดังนั้นใครที่ทำอะไรไม่ชอบมาพากล ย่อมไม่หลงหูหลงตาประชาชนคนใดคนหนึ่งไปได้ แล้วเขาก็จะเป็นตาสับปะรดช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่อีกชั้นหนึ่ง ผมเคยพักอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในเมืองหนึ่งในประเทศอิตาลี วันหนึ่งมีเพื่อนมานั่งดื่มสุรากัน 1-3 คน พอดึกหน่อยก็เริ่มมีเสียงดังขึ้นๆ สักพักเดียว มีตำรวจมาเคาะประตู และบอกว่าถ้ายังเสียงดังรบกวนชาวบ้านอย่างนี้อีก คงต้องย้ายที่นอนไปนอนที่สถานีตำรวจแทน เท่านั้นแหละ เงียบสนิทกันได้ทันที
สมัยทำงานอยู่ในกระทรวงเกษตรฯ ผมเคยได้รับมอบหมายให้ไปประชุมและสัมมนาระยะสั้นที่ประเทศแซมเบีย แถบทวีปแอฟริกา พอไปถึงก็เกิดความพิศวงงงงวยมาก เพราะในดินแดนแอฟริกาอันลึกลับกลับได้พบคนจีนกับคนญี่ปุ่นเยอะแยะไปหมด ส่วนมากคนจีนจะทำธุรกิจด้านการก่อสร้างทั้งโดยการช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชน ส่วนคนญี่ปุ่นมักจะทำงานในองค์กรช่วยเหลือระหว่างชาติและเอกชน และหลังจากที่ผมได้ศึกษารวมทั้งถามไถ่ผู้รู้ต่างๆ จึงทราบว่า นั่นคือท่าทีวิสัยทัศน์ของคนญี่ปุ่นและคนจีนครับ จากข้อเท็จจริงที่ผมไม่อาจเล่าได้ จะเห็นได้ว่า เขาไม่ได้กำหนดนโยบายหรือท่าทีต่างๆ โดยมองไปข้างหน้าเพียง 5 ปี 10 ปีเท่านั้น แต่เขามองไปข้างหน้าอย่างน้อย 50 ปีเลยทีเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี