คุมเข้ม11กลุ่มเข้าไทย
ต้องถูกกักตัว
ผ่านตม.คัดกรองโควิด
สกัดแพร่ระบาดระลอก2
โพลล์ชี้ปชช.คลายกังวล
เชื่อใส่แมสคุมระบาดได้
จี้รัฐเยียวยา-เฝ้าระวังต่อ
ไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 5 ราย กลับจาก “อินเดีย-คูเวต-สหรัฐ-ญี่ปุ่น” เข้าพักในที่กักตัวรัฐ ในประเทศผู้ป่วยเป็นศูนย์ต่อเนื่องวันที่ 41 ทั่วโลกป่วยโควิด-19 ทะลุ 11 ล้านคน ไทยอยู่อันดับ 97 โลก ด้านรองโฆษก ตร.อธิบายขั้นตอนปฏิบัติคุมเข้ม 11 กลุ่ม ที่ได้รับการยกเว้นให้เดินทางเข้าประเทศได้ ย้ำต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขเคร่งครัด ขณะที่
สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนพบมากกว่าครึ่งกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ลดลง และมากถึง 94% เชื่อมั่นว่าสวมแมส
ช่วยป้องกันไวรัสโควิดระบาดได้ พร้อมเสนอรัฐบาลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและคุมเข้มสถานการณ์ต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) แถลงสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด – 19 (COVID-19) ประจำวันว่า วันนี้ มีผู้ป่วยใหม่ 5 ราย ในที่กักตัวรัฐ รักษาหายเพิ่มขึ้น 5 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 3,071 ราย ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 61 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,190 ราย เสียชีวิตสะสม 58 ราย การติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ต่อเนื่อง 41 วันแล้ว
พบป่วยใหม่5กลับจากตปท.
โดยผู้ป่วยใหม่ 5 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานที่กักตัวของรัฐ เป็นผู้ที่กลับจากอินเดีย 1 ราย คูเวต 2 ราย , สหรัฐอเมริกา 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 รายเข้าพักสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ทั้งนี้ ผู้ที่เดินทางมาจากอินเดีย 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 42 ปี อาชีพพนักงานนวดเดินทางมาถึงไทย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน เข้าพักในสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) ที่กรุงเทพฯและตรวจหาเชื้อวันที่ 3 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ คูเวต 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 42 และ 57 ปี อาชีพรับจ้างเดินทางมาถึงไทยวันที่ 29 มิถุนายน เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ และตรวจหาเชื้อวันที่ 3 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อทั้งหมดไม่มีอาการ สหรัฐฯ 1 ราย เป็นนักศึกษาหญิงไทย อายุ 17 ปี เดินทางมาถึงไทยวันที่ 29 มิถุนายน เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ และตรวจหาเชื้อวันที่ 3 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ และญี่ปุ่น 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 38 ปี อาชีพพนักงานบริษัทเดินทางมาถึงไทย 30 มิถุนายน เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯและตรวจหาเชื้อวันที่ 2 กรกฎาคม ผลตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ
ทั่วโลกทะลุ11ล.ไทยอันดับ97
ส่วนสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลกประจำวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. มียอดผู้ติดเชื้อรวม 11,380,633 ราย อาการรุนแรง 58,530 ราย รักษาหายแล้ว 6,439,666 ราย เสียชีวิต 533,449 ราย อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐฯ 2,935,770 ราย บราซิล 1,578,376 ราย รัสเซีย 674,515 ราย อินเดีย 673,904 ราย เปรู 299,080 ราย สำหรับประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 97 มีผู้ติดเชื้อสะสม 3,190 ราย
ตร.แจงคุมเข้ม11กลุ่มเข้าปท.
ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 12) หรือพ.รก.ก.ฉุกเฉิน ลงวันที่ 30 มิถุนายน และคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ที่ 7/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 6) ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ประกอบกับประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่องกำหนดเงื่อนไขอนุญาตให้อากาศยานบินเข้าออกประเทศไทย (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งห้ามอากาศยานขนส่งบุคคลทำการบินเข้ามายังท่าอากาศยานประเทศไทยเว้นแต่เป็นกรณี 11 กลุ่มผู้โดยสารนั้น
ในการเดินทางเข้าราชอาณาจักรของบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งใน 11 กลุ่ม ที่ได้รับการยกเว้น ทางอากาศยาน ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข เงื่อนเวลาและหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศและกฎหมายว่าด้วยการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของโรคและจัดระเบียบจำนวนบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้สอดคล้องกับความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการคัดกรอง และจัดสถานที่ไว้แยกกัน กักกัน หรือคุมไว้สังเกต โดยผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทั้ง 11 กลุ่ม ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ยันต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสกัดเชื้อ
พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวต่อว่า อันดับแรกการเตรียมตัวก่อนเดินทาง ผู้โดยสารต้องตรวจสอบว่าเป็นบุคคลตามข้อยกเว้น 11 ประเทศหรือไม่ พร้อมกับเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องตามเงื่อนไขบุคคลแต่ละประเภท โดยติดต่อสถานทูตไทยหรือกงสุลไทย ประจำประเทศต้นทาง เพื่อขอหนังสือรับรอง (Certificate of Entry)ซึ่งผู้โดยสาร (เฉพาะบุคคลบางประเภท) ต้องมีใบรับรองการตรวจ COVID-19 FREE โดยวิธี RT-PCR มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทาง ประกันภัยครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลโรคโควิด-19 ตลอดระยะเวลาในไทยไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลล่าสหรัฐ พร้อมเข้ารับการกักตัวของรัฐ (State Quarantine) หรือ การกักตัว ในพื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) หรือคุมตัวไว้สังเกตตามมาตรการควบคุมโรค ตามเงื่อนไขของแต่ละประเภท และเมื่อเข้ามาภายในราชอาณาจักรแล้ว ผู้เดินทางต้องโหลดแอพพลิเคชั่น เพื่อติดตามอาการ เข้าสถานที่ต่างๆ และรายงานสุขภาพตนเอง
ตม.คงมาตรการคัดกรองเข้มข้น
รอง โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ขานรับนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผล.ทสส./ผอ.ศปม.กรณีอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยตามการผ่อนปรนของศบค. โดยมอบให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนด เพื่อควบคุมป้องกันการระบาดระลอกใหม่ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พร้อมร่วมปฏิบัติทุกภาคส่วนยังคงมาตรการเข้มข้นในกระบวนการคัดกรองและกักกันคนไทย หรือบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ที่เดินทางกลับประเทศ ตามมาตรการและแนวทางที่กรมควบคุมโรค กำหนดไว้โดยเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงการระบาดและให้ประเทศไทย ปราศจากเชื้อไวรัสโควิด19 จากต่างประเทศเข้ามา
เปิดบัญชี11กลุ่มได้รับยกเว้นเข้าปท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบุคคคล 11 กลุ่ม ที่สามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศยานต้องเป็นไปตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา และหลักเกณฑ์ของผู้มีอํานาจตามกฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายโรคติดต่อ กฎหมายเดินอากาศ และกฎหมายบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการระบาดของโรค และจัดระเบียบบุคคลเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้สอดคล้องกับความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองและการจัดสถานที่ไว้แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต ประกอบด้วย 1.มีสัญชาติไทย 2.มีเหตุยกเว้นหรือนายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามความจำเป็น โดยอาจกำหนด เงื่อนไขและเงื่อนเวลา 3.ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย 4.ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือได้รับอนุญาตให้มี ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร 5.ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบอนุญาตทำงาน หรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงาน ในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสหรือบุตรของบุคคลดังกล่าว
6.ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้กลับออกไปโดยเร็ว 7.ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ ซึ่งจาเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน 8.ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาในไทย ที่ทางการไทยรับรอง ตลอดจนบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว 9.ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในไทย และผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าว แต่ต้องไม่เป็นกรณีเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด –19 10.บุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ซึ่งมาปฏิบัติงานในไทย หรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว 11. ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษกับต่างประเทศ
โพลกว่า52%กังวลโควิดลดลง
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,109 คน ผ่านทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 1-4 กรกฎาคม ประเด็น “การใช้ชีวิตของประชาชน หลังผ่อนคลายมาตรการโควิด-19” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 52.93 มีความกังวลลดลง รองลงมาร้อยละ 29.94 กังวลเหมือนเดิม และร้อยละ 12.44 ไม่กังวล ขณะที่ร้อยละ 4.69 กังวลมากขึ้น
สำหรับความคาดหวังของกลุ่มตัวอย่างต้องการให้โควิด-19 ของไทยเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อใด ร้อยละ 39.40 ระบุภายในสิ้นปี 2563 นี้ ร้อยละ 27.95 ระบุ กลางปี 2564 ร้อยละ 23.90 ปลายปี 2564 และร้อยละ 8.75 ไม่แน่ใจ คาดเดายาก/อาจดีขึ้นเมื่อค้นพบวัคซีน
94%เชื่อสวมใส่แมสคุมโควิดได้
ส่วนคำถามว่าประชาชนมีส่วนช่วยควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างไรบ้าง กลุ่มตัวอย่างมากถึงร้อยละ 94.77 ระบุว่าสวมหน้ากากอนามัย รองลงมาร้อยละ 88.19 ล้างมือบ่อยๆ ร้อยละ 81.24 เว้นระยะห่างทางสังคม ร้อยละ 79.80 ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และร้อยละ 76.92 ไม่ไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก นอกจากนี้ ประชาชนยังมีข้อเสนอแนะอีกว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ประชาชนอยากให้รัฐบาลดำเนินการฟื้นฟูอย่างไรบ้าง อันดับ1 มากถึงร้อยละ 77.55 ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างเข้มงวด อันดับ 2 ร้อยละ 71.78 มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง อันดับ 3 ร้อยละ 69.43 เน้นสร้างงาน สร้างอาชีพ อันดับ 4 ร้อยละ 65.64 ช่วยเหลือคนตกงาน และอันดับ 5 ร้อยละ 57.26 ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี