34ชาติขอเข้ารักษาตัว
เปิดประเทศ
สธ.คุมเข้มตรวจ3รอบ
รับนักธุรกิจจีน7ก.ค.นี้
ศบค.ไม่กักผบ.ทบ.สหรัฐ
ชี้มาระยะสั้นตั้งกฎคุมเข้ม
พท.ค้านหนักจี้เลื่อนไปก่อน
ไทยพบผู้ป่วย 5 ราย กลับจากคูเวต คนไทยกลับจากตปท.ต่อเนื่องโควตา 500 คน/วัน7 กรกฎาคม เริ่มเปิดให้นักธุรกิจจีนเข้าปท. ด้านฝ่ายความมั่นคงเผยจับต่างด้าวลอบเข้าเมืองช่วง1 เดือนที่ผ่านมาได้กว่า 3 พันคนฉะนั้นหยุดยาวการ์ดอย่าตกศบค.เผยมี 34 ประเทศขึ้นทะเบียนเข้ารักษาตัวใน 67 รพ.ไทย แต่ขอให้ปชช.มั่นใจระบบเฝ้าระวัง แจงผบ.ทบ.สหรัฐเยือนไทยระยะสั้นไม่ต้องกักตัว แต่วาง 6 เงื่อนไขคุมเข้ม ทั้งตรวจหาเชื้อ3ครั้ง ส่งทีมสธ.-มั่นคงปะกบ ขณะที่“เพื่อไทย”ค้านหนัก หวั่นพาไวรัสเข้าประเทศ จี้เลื่อนกำหนดการออกไปก่อน
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 5 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ และอยู่ในสถานกักกันของรัฐในกรุงเทพมหานคร และนับเป็นวันที่ 42 ที่ไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ
พบป่วยใหม่5รายกลับจากคูเวต
ทั้งนี้ ทั้ง 5 รายนั้น กลับจากประเทศคูเวต เป็นชาย 4 คน อาชีพรับจ้าง อายุ 34 ปี 46 ปี 48 ปี และ53ปี เป็นหญิง 1 ราย อาชีพพนักงานนวด ทั้งหมดเดินทางกับมาถึงไทยวันที่ 29 มิถุนายน ซึ่งในเที่ยวบินดังกล่าวมีผู้ตรวจพบเชื้อและยืนยันก่อนหน้าแล้วด้วย โดยผู้ติดเชื้อ 5 รายดังกล่าว ตรวจพบเชื้อ 3 ราย วันที่ 2 กรกฎาคม และตรวจพบอีก 2 ราย วันที่ 5 กรกฎาคม ทั้งหมดไม่มีอาการใดๆ ทำให้ขณะนี้มีผุ้ป่วยสะสม 3,195 ราย หายป่วยแล้ว 3,072 ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดคงที่อยู่ 58 ราย และอยู่ระหว่างรักษา 65 ราย ขณะที่สถานการณ์โลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 11,556,681 เสียชีวิตสะสม 536,776 ราย
7กค.เริ่มเปิดรับนักธุรกิจจีนเข้าปท.
ขณะที่ผู้ที่เดินทางกลับประเทศไทยวันนี้มี 2 เที่ยวบิน 328 คน จากสิงคโปร์และเกาหลีใต้ ส่วนวันที่ 7 กรกฎาคม จะมีคนไทยกลับจากญี่ปุ่นและจีน 3 เที่ยวบิน 220 คน และจะมีนักธุรกิจจากเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งเพิ่มเข้ามาอีก 52 คน จะเห็นว่าโควต้าต่อวันสำหรับผู้เดินทางกลับจากประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 500 คน และหากโควต้าเหลือจะให้นักธุรกิจเดินทางเข้ามา แต่ต้องอยู่ในสถานกักกันของรัฐ
อย่าการ์ดตก-จับ3พันคนลอบเข้าเมือง
นอกจากนี้ หน่วยงานความมั่นคงรายงานว่าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ลักลอบเข้าประเทศตามช่องทางชายแดนกว่า 3,000 คน ซึ่งบางส่วนอยู่ในการดูแลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)โดยนำมากักตัวไว้ ขณะที่บางส่วนผลักดันกลับประเทศ ดังนั้น ช่วงวันหยุดยาวที่ปรากฎภาพประชาชนเดินทางไปท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง การ์ดอย่าตก เพราะเรามีผู้ลักลอบเข้าประเทศปะปนในประเทศของเรา ส่วนที่สวนดุสิตโพลสำรวจพบว่าประชาชน 2 ใน 3 มีความกังวลน้อยลงหลังผ่อนคลายระยะ 5 นั้น เป็นเรื่องน่ากังวล จึงขอให้ระวังตัว สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ เพราะเรายังไม่มีวัคซีนรักษา
จัดเครื่องรับคนไทยในอังกฤษเน้นเคสด่วน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอังกฤษ และยาหมดเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ เพราะต้องรอคิวนาน ศบค.จะช่วยเหลืออย่างไร นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวจะพิจารณาอย่างเร่งด่วน ปัญหาการเดินทางกลับจากอังกฤษคือ เที่ยวบินไม่เพียงพอ ขณะนี้มีมีคนรอคิวกว่า 600 คน เราจึงจัดทำแผนการเดินทางระยะสั้นให้ผู้ที่จำเป็น เช่น ป่วยเหมือนกรณีดังกล่าว มีญาติไม่สบาย หรือเสียชีวิต จะจัดหาเที่ยวบินให้เดินทางกลับมาก่อน แต่ต้องต่อเครื่อง ระยะที่สองจะเช่าเครื่องบินเหมาลำเพื่อเดินทางกลับ 2 เที่ยวบิน ในวันที่ 20 กรกฎาคม และ 26 กรกฎาคม ใครที่ต้องการเดินทางกลับขอให้ไปลงทะเบียนให้เต็มลำ ส่วนระยะยาวนั้นขอให้สถานทูตอังกฤษประเสานกับหน่วยงานแพทย์ หรือหน่วยงานความมั่นคงให้คนไทยกลับมา
เปิดรับผู้ป่วย34ปท.รักษาตัวใน67รพ.ไทย
สำหรับโปรแกรมการรับผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษาในประเทศนั้น นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว 67 แห่ง คลินิคเฉพาะทาง 1 แห่ง มีผู้ลงทะเบียนจะเดินทางเข้ามารักษาตัว จาก 34 ประเทศ ในระยะเวลา 3 เดือนจำนวนผู้ป่วย 1,169 คน ผู้ติดตาม 1,521 คน โดยทั้งหมดจะมีขั้นตอนก่อนเดินทางคือ ตรวจโควิด-19 เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง เดินทางเข้ามาทางสนามบินที่กำหนด เข้าสู่กระบวนการคัดกรอง สถานพยาบาลไปรับผู้ป่วยที่สนามบิน ยืนยันต้องปลอดเชื้อโควิด-19 เท่านั้น และต้องอยู่โรงพยาบาลให้ครบ 14 วัน ไม่ให้กลับก่อนกำหนด ขอให้ประชาชนมั่นใจระบบ เพราะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่งด้วย
แจงไม่กักผบ.ทบ.สหรัฐเพราะมาระยะสั้น
ส่วนกรณีพล.อ.เจมส์ แมคคอลวิลล์ ผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐอเมริกา จะเดินทางเยือนไทยวันที่ 9-10 กรกฎาคม ต้องกักตัวหรือไม่ โฆษก ศบค.กล่าวว่า ศบค.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สอบถามไปว่า เลื่อนเดินทางได้หรือไม่ แต่เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่ถูกวางไว้อยู่แล้ว และมีความละเอียดอ่อนมีความสัมพันธ์ในเชิงต่างประเทศ แต่ขณะนี้มีสถานการณ์โรคติดต่อ จึงแลกเปลี่ยนความห่วงใยกับทีม ผบ.ทบ.สหรัฐ ได้ข้อสรุปว่า ไทยกำหนดหลักเกณฑ์เบื้องต้น 6 ข้อคือ การเดินทางเข้ามาต้องเป็นคณะเล็กไม่เกิน 10 คน เป็นการเดินทางระยะสั้น มีการตรวจรับรองการปลอดเชื้อโควิด-19 ที่ประเทศต้นทาง โดยผลตรวจเชื้อต้องเป็นลบสองครั้ง และเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย ให้หน่วยราชการที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูง พิจารณาจัดเจ้าหน้าที่ประจำคณะในลักษณะติดตามหรือตามประกบ มีเจ้าหน้าสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานความมั่นคงติดตามประจำคณะ ตลอดจนต้องจำกัดการเดินทางเฉพาะกำหนดการที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ห้ามคณะเดินทางไปในที่สาธารณะและห้ามใช้ขนส่งมวลชน ยอมรับว่า คงไม่สามารถกักตัวคณะที่เดินทางเข้ามาได้ เพราะมาแค่ระยะสั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ของไทย ก็จะตรวจสอบเรื่องการติดเชื้อเป็นระยะ
วางเงื่อนไขใส่แมสช่วงพบนายกฯ
“อย่างไรก็ตาม การที่เขามาพบนายกรัฐมนตรี บุคคลสำคัญของเรา เราเป็นห่วง จึงขอให้ใส่ หน้ากากตลอดเวลา เชื่อมั่นว่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้ การเดินทางมาของผบ.ทบ.สหรัฐที่มีกำหนดการเพียงไม่กี่วัน จึงไม่สามารถกักตัว 14 วันได้ และเมื่อคนที่เข้ามาไม่มีเชื้อโควิด-19 คนของเราไม่มีเชื่อโควิด-19 ก็ไม่จำเป็นต้องกักตัวเช่นกัน แต่ต้องมีการติดตามตรวจสอบคนของเราเป็นระยะ”โฆษก ศบค.กล่าว
เปิดรับตปท.หาหมอไทยเว้นรักษาโควิด
ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคแถลงว่า หลังสถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศมานานมากกว่า 1 เดือน และมีประกาศข้อกำหนด ฉบับที่ 12 ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และ คำสั่ง ศบค. ฉบับที่ 6 อนุญาตให้ผู้ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทย และผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าว แต่ต้องไม่เป็นกรณีที่เข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด 19 ทั้งนี้ รวมถึงผู้ป่วยเดิมที่จำเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาล หรือผู้ป่วยใหม่ที่จำเป็นต้องมารับการรักษาในประเทศไทย ต้องเป็นผู้ป่วยที่มีผลตรวจปลอดโรคโควิด 19 และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทยอย่างเข้มงวด
แจงขั้นตอนเฝ้าระวังเข้ม
ทั้งนี้ มีข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-5 กรกฎาคมพบมีผู้เดินทางเข้ามารับบริการที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร 3 ราย เป็นผู้ป่วยเก่าที่เคยมารับการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว มาจากเมียนมา มัลดีฟส์ และกาตาร์ ประเทศละ 1 ราย และมีญาติผู้ดูแลติดตามมาด้วยจากเมียนมา 1 คนและมัลดีฟส์ 1 คน ซึ่งทั้งผู้ป่วยและผู้ติดตามต้องผ่านการตรวจ ต้องไม่พบเชื้อโควิด- 19 ที่ประเทศต้นทางและมีเอกสารสำคัญครบถ้วนก่อนได้รับอนุญาตให้เข้าไทย ได้แก่ เอกสารหรือหนังสือรับรองของสถานพยาบาลจากประเทศต้นทางที่ระบุความจำเป็นในการเข้ามารักษาพยาบาล เอกสารหรือหนังสือรับรองของสถานพยาบาลในประเทศไทยที่ยืนยันการรับผู้เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลและการจัดสถานที่กักกันในสถานพยาบาล เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าผู้เดินทางมีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง (Fit to Fly Health Certificate) หรือตามสภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางการแพทย์ และใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่าตรวจไม่พบเชื้อก่อโรคโควิด 19 ภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เอกสารหลักฐานซึ่งแสดงถึงหลักประกันที่ผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ในประเทศ และกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หนังสือที่รับรองว่าเป็นบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้ (Certificate of Entry - COE)
ยันปลอดภัยใช้แอพฯ-ตรวจหาเชื้อ3ครั้ง
นพ.สุวรรณชัยกล่าวอีกว่า เมื่อชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตเดินทางมาถึงไทย จะคัดกรองอาการทางเดินหายใจและวัดไข้ ต้องเดินทางโดยยานพาหนะของสถานพยาบาลเท่านั้น และมีระบบติดตามตัวหรือติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่ราชการกำหนด เพื่อใช้เฝ้าระวังติดตามอาการระหว่างเข้ารับการกักกัน และที่สำคัญต้องตรวจหาเชื้อโควิด 19 อีก 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 เมื่อมาถึงสถานพยาบาล ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 5-7 และ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 13-14 ของระยะเวลาที่ถูกกักกัน ทั้งนี้ กรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไม่ถึง 14 วัน สถานพยาบาลจะให้ผู้ป่วยอยู่กักกันจนครบ 14 วัน รวมทั้งญาติและผู้ติดตาม จะถูกกักในโรงพยาบาลเดียวกันกับผู้ป่วยเป็นเวลา 14 วัน หลังตรวจไม่พบเชื้อ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจมาตรการป้องกันควบคุมเชื้อโควิด-19 ที่เข้มงวดของไทย เพื่อป้องกันจำกัดการระบาดของโรค แม้จะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล แต่เป็นการบริหารจัดการในโรงพยาบาลที่ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว จึงมั่นใจได้เรื่องความปลอดภัย
พท.เบรกบิ๊กสหรัฐหวั่นพาเชื้อเข้าปท.
มีความเห็นจากนายสุทิน คลังแสง ส.ส. มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ผบ.ทบ. สหรัฐฯและคณะจะเดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 9-10 กรกฎาคม ในฐานะแขกของกองทัพบก หลังได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยตามข้อตกลงพิเศษ หรือ Special Arrangement ในฐานะแขกทางการ ที่เข้าเงื่อนไขไม่ต้องกักตัว 14 วันว่า รัฐบาลจะเอาอะไรระหว่างป้องกันโควิด-19 กับความเกรงใจ และปล่อยให้โควิด-19 เข้าประเทศ อย่าลืมว่าโควิด-19 ไม่ได้เลือกฐานะไม่ได้เลือกสถานภาพ ใครก็ติดเชื้อได้ ดังนั้น ต้องถามว่ารัฐบาลจะแยกอย่างไรว่า ถ้าผู้นำหรือตัวแทนประเทศสำคัญ โควิด-19 จะยกเว้นให้ ซึ่งรัฐบาลไทยต้องคิดให้หนัก และที่ผ่านมารัฐบาลพูดตลอดว่าเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 แต่เมื่อมีสถานการณ์เช่นนี้จะยอมเอาชีวิตคนไทยเสี่ยงกับคนคนเดียวหรือ ความเกรงใจของมหามิตร ซึ่งจะคุ้มหรือไม่ รัฐบาลต้องไปคิดเองอย่างไรก็ตาม หากมีการเดินทางเข้ามา รัฐบาลต้องปฏิบัติให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับว่ามีการป้องกันโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนมองว่าเมื่อเจอเหตุการณ์นี้อาจจะมีการปรับมาตรฐานประเทศไทยลง
ชี้ไม่กระทบสัมพันธ์จี้เลื่อนไปก่อน
เช่นเดียวกับ นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ความร่วมมือทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐทำมาตลอด ปีนี้อยากให้งดก่อนได้หรือไม่ หากมาแล้วไม่เข้ากักตัวในสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ก็จะเป็นปัญหา เพราะขณะนี้สหรัฐฯติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ตนไม่เห็นด้วยที่จะให้มา แต่หากจำเป็นต้องมาแล้วมีการกักตัว 14 วันมองว่าเขาคงทำไม่ไหว ดังนั้น ควรงดการเยือนครั้งนี้ก่อน
“อย่ามีข้อยกเว้น ถ้าจะยกเว้นต้องยกเว้นทุกเรื่อง หรือต้องยกเว้นทั้งหมด อย่าทำตัวลักษณะคนไทยทำอย่างกับต่างชาติทำอีกอย่าง จะเสียมาตรฐานการทำงานของศบค. ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่หากทำงานตามผู้มีอำนาจ ตามการเมืองก็ควรยุบทิ้ง เพราะที่ผ่านมาไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยก็ควรยกเลิก และทุกวันนี้พิสูจน์ชัดตลอดว่าคนที่ติดโควิด-19 นั้นล้วนมาจากต่างประเทศ ดังนั้นศบค.จะมั่นใจได้อย่างไร ขอย้ำว่าควรจะงดเยือนก่อน คงไม่กระทบความสัมพันธ์ เพราะมีเหตุผลการระบาดของโควิด-19.
วอนคนเคยป่วยบริจาคพลาสมา
ขณะที่ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยว ชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ประเด็นความคืบหน้าการใช้พลาสมา( Plasma) สร้างแอนตี้บอดี้ว่า ผู้ที่หายป่วย 1 คนบริจาคพลาสม่าได้ 6 ถุง โดยบริจาคได้ทุก 2 สัปดาห์ มีอาสาสมัครหรือฮีโร่ ที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมากกว่า 150 คน ในจำนวนนี้ได้พลาสมาของผู้ที่มีภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้(Antibody)ระดับสูง 250 ถุง ทั้งนี้ การใช้พลาสมารักษาผู้ป่วยโควิด 1 คน ต้องใช้พลาสมา1 - 2 ถุง สำหรับวิธีนำพลาสมามาใช้นั้นทำเป็นตัวยาเหมือนเซรุ่มที่ใช้ฉีดโรครักษาตับอักเสบบี พิษสุนัขบ้า โดยทำให้เกิดความเข้มข้น ซึ่งจะต้องมีจำนวนที่มากและบรรจุใส่ขวด
“การศึกษาวิจัยผลิตวัคซีน เข้าสู่ร่างกายคนเพื่อสร้างแอนติบอดีทางตรง ป้องกันโรคโควิดฯยังไม่สำเร็จ ดังนั้น การนำพลาสมาของผู้หายจากโควิด มาใช้สร้างแอนตี้บอดี้ทางอ้อม จึงเป็นความหวังกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานกับผู้ที่ได้รับเชื้อโควิดเข้าไปแล้วจะไม่เกิดการติดเชื้อ”ศ.นพ.ยงกล่าว และยืนยันว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเตรียมความพร้อมนำพลาสมามาใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ถ้าเราจะเกิดระบาดรอบ2 รอบ 3 จะมีพลาสมาไว้สำรองรักษาผู้ป่วยเพียงพอ หากทุกคนมาบริจาคทุก 2 สัปดาห์จะมีพลาสมาเก็บสำรองไว้ในคลังได้ประมาณ 600 -1,000 ถุง โดยอายุของพลาสมาเก็บได้นานถึง 1 ปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี