ปปส.กระบี่ ร่วมกับ ตชด.426  จับกุมผู้ต้องหายาเสพติด 4 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 61,787 เม็ด ไอซ์ อาวุธและเครื่องกระสุน ผวจ.สั่งตรวจเข้ม ส่วนสถานบันเทิงที่เริ่มเปิดหากพบกระทำผิดจะสั่งปิดกิจการ

7 กรกฎาคม 2563 พ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติด ยาบ้า 61,787 เม็ด ไอซ์ 19.40 กรัม ที่ หน้าศาลากลางจังหวัดกระบี่ เลขที่ 5 โดยมี นายนิรันดร์ ปราบอักษร นายอำเภอเขาพนม นาวาเอกศราวุธ สมสาย รอง ผอ.ศรชล กระบี่ นายณรงค์ หนูคง ผบ.เรือนจำจังหวัดกระบี่ พ.อ.กิติพงศ์ ขวัญเมือง สัสดีจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแถลงข่าว

การปฏิบัติการครั้งนี้นำโดย นายธวัช จงรักษ์ภูวนาถ  (ปลัดโดเรม่อน) รอง หน.ชุดปฏิบัติการพิเศษปราบปรามยาเสพติดจังหวัดกระบี่ ร.ต.ท.ภาณุวัฒน์ รักษ์เที่ยง รอง สว.(ป) กก.2 บก.ปส.4 ร.ต.ต.โอภาส บัวคำโครต รอง สว.(ป) ร้อย ตชด.426 พร้อมพวก ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา หลังจาก ชุดปฏิบัติการการข่าว ตชด 426 นำโดย พ.ต.ท.ก้องภพ โพธิ์แสน ผบ.ร้อย ตชด.426 ได้ร่วมกันจับกุม นายสิทธิพล หรือเกม 18 ปี นำไปขยายผล ไปจับกุมผู้ต้องหารายที่ 2 นายนิกร หรือ หัวมันภาชนะทอง อายุ 46 ปี ขยายผลไปสู่การจับกุมผู้ต้องหารายที่ 3 นายจารุพงศ์ หรือ ตั้ม หาญชนะ อายุ 30 ปี เหตุเกิดในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 25963 และขยายผลต่อเนื่อง ไปจับกุมในวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ผู้ต้องหารายที่ 4 นายอภิสิทธิ์ หรือ เอกม่วงขาวอายุ 40 ปี เหตุเกิดที่ ต.พรุเตียว เกี่ยวเนื่อง ต.สินปุน อ.เขาพนม จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย และ ของกลาง ประกอบด้วย ยาบ้า 61,787 เม็ด ไอซ์ 19.40 กรัม อาวุธปืนลูกซอง 1 กระบอก กระสุน 10 นัด กระสุนปืนขนาด.22 จำนวน 84 นัด ดำเนินคดี ยัง สภ.พื้นที่เกิดเหตุ

ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จังหวัดกระบี่มีสถิติการจับกุมผู้ต้องหาในคดียาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีชุดปฏิบัติการที่เข้มแข็ง ปรากฏอย่างเป็นทางการ 3 ชุด และเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ อีกหลายชุด ดังนั้น การตรวจค้นจะเป็นไปด้วยความเข้มงวด ซึ่งครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ไอซ์ ที่นำส่งมาทางบริษัทรับส่งสินค้า มาดำเนินคดีได้ สำหรับสถานประกอบการ สถานบันเทิงที่ได้รับการผ่อนคลายมาตรการให้เปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป เจ้าหน้าที่จะมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ส่วนสถานประกอบการเองจะต้องดูแลระมัดระวังไม่ให้มีการกระทำผิดในสถานประกอบการของตนเอง หากตรวจพบจะถูกดำเนินคดีและสั่งปิดสถานประกอบการ ดังที่เคยได้ดำเนินการมาแล้ว