วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การเพาะปลูกพืชสิ่งสำคัญที่สุดคือพันธุ์พืช เพราะถ้าได้ใช้พันธุ์ดีทำการเพาะปลูกแล้ว เชื่อมั่นได้ว่าเราจะได้ผลผลิตที่ดีตามพันธุ์ที่ปลูก ซึ่งหากต้องใช้พันธุ์ดีแต่หายาก มีราคาแพง หรือบางคราวอาจโดนหลอกว่าเป็นพันธุ์ดี นับว่าเป็นความล้มเหลวตั้งแต่แรกของการเพาะปลูกภาครัฐเองก็เข้าจปัญหาดังกล่าวดีมีความพยายามหลากหลายรูปแบบที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยใช้กลไกทางกฎหมาย เห็นได้จากมีการออกกฎหมายว่าด้วยการควบคุมพันธุ์พืชหรือรู้จักกันในชื่อ พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกฏหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองเกษตรกรให้ได้ใช้พันธุ์พืชที่มีคุณภาพ เข้าถึงพันธุ์พืชที่มีคุณสมบัติที่ดี ลดความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลอกหลวงไปได้ในระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่ามีเมล็ดพันธุ์ดีจำหน่ายและสามารถพัฒนาพันธุ์ดีนั่นๆอยู่เรื่อยๆ นำไปสู่การพัฒนาพันธุ์พืชและเกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมพันธุ์พืช ให้เกษตรกรได้มีตัวเลือกและเข้าถึงพันธุ์พืชที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น
บนความห่วงใยต่อการเข้าถึงพันธุ์ดีและการสงวนพันธุ์ดีให้ไว้ใช้ในประเทศรวมทั้งการคุ้มครองพันธุ์พืชไว้ให้คนไทยทั้งประเทศ ภาคราชการจึงได้ออกกฎหมายอีกฉบับคือพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โดยหวังว่าจะส่งเสริมให้มีการวิจัย พัฒนาพันธุ์พืช และส่งเสริมการคุ้มครองพันธุพืชท้องถิ่นของไทยให้ยังคงเป็นของชุมชน เป็นของคนไทย เพื่อให้สามารถนำไปใช้สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ขณะเดียวกันนักวิจัย นักปรับปรุงพันธุ์ หรือเจ้าของพันธุ์ดังกล่าว จะได้รับการดูแลไปด้วย บนความเชื่อมั่นว่ากฏหมายดังกล่าวจะคุ้มครองเจ้าของพันธุ์ได้จากการที่พันธุ์พืชนั่นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในลักษณะของทางธุรกิจการค้า หรือในรูปแบบของสาธารณประโยชน์
ขณะที่ประเทศไทยมีข่าวการเข้าร่วมการเจรจารอบแรกของการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP โดยมีเงื่อนไขว่าไทยจะต้องยอมรับและเข้าร่วมให้สัตยาบันการดำเนินการปกป้องพันธุ์พืชใหม่หรือมักเรียกว่าติดปากว่า UPOV ที่หลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียพันธุ์พืชพันธุ์ดีของไทย จะมีการครอบงำและดูแลเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจเมล็ดพันธุ์รายใหญ่เท่านั้น เรื่องนี้ถ้าดูกันให้ลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่า เรามีพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชที่ต้องดูแลพืชท้องถิ่นพืชพื้นเมืองของเรา รวมทั้งพันธุ์พืชใหม่ที่พัฒนาโดยนักวิจัยของเรา ทำไมต้องกลัวและกังวลในประเด็นดังกล่าว รวมทั้งมีเอกสารทางวิชาการออกมาจากหลายสำนัก หลายหน่วยงาน แสดงให้เห็นว่าไม่มีการสูญเสียพืชพันธุ์ดีอย่างแน่นอน พืชท้องถิ่น พืชพันธุ์ดั้งเดิมของเราก็ยังเป็นของเรา หรือแม้แต่พาดพิงไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจากการละเมิดเอาพันธุ์พืชที่ขึ้นทะเบียนไว้ไปใช้ขยายผลในเชิงพาณิชย์อีกด้วย
เรื่องนี้ถ้าทำความเข้าใจและดูให้รอบคอบในทุกๆด้าน จะพบว่าการคุ้มครองพันธุ์พืชของเรามีอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะเป็นสมาชิก UPOV หรือไม่ก็ตาม แต่การเข้าเป็นสมาชิก UPOVผู้พัฒนาพันธุ์ย่อมได้รับการคุ้มครองสิทธิ การจำหน่ายสามารถทำได้อย่างกว้างขวาง ป้องกันการละเมิดสิทธิ มีการสร้างความนิยม จนเกษตรกรเองอาจต้องมาเป็นเป้าหมายของการส่งเสริมการใช้พันธุ์ดังกล่าว จนเกิดเป็นความจำเป็นที่ต้องใช้พันธุ์นั่น จนทำให้พันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ท้องถิ่นถูกละเลย หรือไม่สามารถแข่งขันได้ในระบบตลาดเสรี เกษตรกรอาจถูกมัดมือชกต้องซื้อหาพันธุ์พืชจากผู้พัฒนาพันธุ์นั่นอย่างต่อเนื่อง ประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่ภาครัฐต้องคิด ต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ ขยายพันธุ์พืชทุกชนิดให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ มีภาครัฐเป็นที่พึ่ง เมื่อเกษตรกรต้องการเพาะปลูก พันธุ์ดีของภาครัฐต้องพร้อมให้บริการ แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน งานวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชและงานขยายพันธุ์พืชของภาครัฐ สามารถเป็นที่พึ่งให้เกษตรกรได้น้อยมาก หากคิดสัดส่วนความต้องการของเกษตรกร ทำให้เกษตรกรต้องหันไปพึ่งพันธุ์ดีของเอกชนแทน ส่งผลให้ธุรกิจเมล็ดพันธุ์พืช ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของเมล็ดพันธุ์ข้าวและเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ประเด็นนี้คือสิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรและคนในชาติ ความคิดที่ว่าพันธุ์พืชจะถูกครอบงำและผูกขาดจะหมดสิ้นไป ใครจะเจรจาอะไรกับใครก็ไม่ต้องกังวล มาเร่งรัดงานวิจัยพัฒนาพันธุ์พืชและงานขยายพันธุ์พืชให้เข้มแข็งกันเถิด เพื่อความมั่นคงของภาคการเกษตรของเราเอง
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี