เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวถึงการเปิดเรียนแบบ On-site ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เชิญ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) มาหารือ ว่าตามที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) ต้องการข้อมูลที่หน่วยใน ศธ.จะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) เพื่อเปิดเรียนแบบ On-site 100% นั้น จะต้องมีข้อมูลโรงเรียนและมีข้อจำกัดอะไรบ้าง ซึ่งขณะนี้ทราบว่าทางสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ ได้นำข้อมูลเสนอไปให้ สบค.แล้ว คาดว่าในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ศบค.จะประชุมพิจารณา
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ในหลักการที่ สพฐ.เสนอข้อมูลโรงเรียนที่ยังไม่ได้เปิดเรียนแบบ On-site หรือเปิดเรียนที่โรงเรียน 100% มีอยู่ประมาณ 4,500 โรงเรียนเศษ สพฐ.จึงเสนอขอเปิด 100% ไปยัง ศบค.โดยใช้มาตรการในการเว้นระยะห่างทางสังคม ใช้หน้ากากอนามัย การล้างมือ วัดอุณหภูมิเด็ก และงดกิจกรรมบางกิจกรรมที่ทำให้เด็กใกล้ชิดกัน หรือกิจกรรมที่ทำให้เด็กได้รับฝุ่นระอองเข้าทางปากหรือทางการหายใจ รวมถึงงดกิจกรรมที่อาจจะทำให้เด็กเกิดการติดเชื้อโควิด-19
สำหรับมาตรการรองรับ หากเกิดกรณีเด็กติดเชื้อโควิด-19 สพฐ.จะทำการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามหลักการของ ศบค.อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โรงเรียนในสังกัด สพฐ.เปิดเรียนแบบ On-site 100% ไปประมาณ 23,000 โรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พบปัญหา เนื่องจากดูแลเรื่องให้เด็กใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ การวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่คุณครูจะมีภารกิจมากขึ้น และใช้ระบบออนไลน์ ออนแอร์เข้ามาช่วยในการเรียนการสอนเพิ่มเติม
“มีโรงเรียนที่มีเด็กอนุบาล หรือเด็กประถมฯบางแห่ง ได้รับเสียงสะท้อนจากผู้ปกครองที่อาจจะไม่มีเวลาดูแลเด็กจึงเป็นข้อจำกัดที่ สพฐ.ต้องนำเสนอ ศบค.ในการขอเปิดโรงเรียนครั้งนี้ ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีเด็กโต ซึ่งอาจจะไม่มีข้อกังวลใจมากเท่าไหร่ แต่เห็นว่าเด็กผู้หญิงบางคนที่อยู่บ้านตามลำพังอาจมีความเสี่ยงในการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ ดังนั้น การมาเรียนอาจเป็นวิธีป้องกันทั้งระบบ และมีเสียงสะท้อนจากเด็ก ๆว่าอยากมาเจอคุณครู อยากเจอเพื่อนๆ ที่โรงเรียน การเรียนออนไลน์เด็กก็เรียนได้ เรียนเข้าใจ และสบายด้วยไม่ต้องแต่งตัว ใส่ชุดนอนก็เรียนได้ และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ไม่มีปัญหา เพราะเตรียมพร้อมหมดแล้ว”
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ขณะนี้หลายประเทศมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสองรอบสามแล้ว ดังนั้น เราก็เฝ้าระวังเพราะขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดผลิตวัคซีรักษาโควิด-19 ได้ เราจึงต้องการ์ดสูงไว้ก่อน ให้ใช้หน้ากากอนามัย การล้างมือ และวัดอุณหภูมิ การเว้นระยะห่างทางสังคม และงดกิจกรรมเสี่ยงของเด็ก และให้นักเรียนสแกนคิวอาร์โค้ด ไทย ชนะ หรือเซ็นชื่อเพื่อให้รู้ว่าเด็กอยู่ที่ใดบ้าง
ส่วนการปรับเกณฑ์การสอบของนักเรียนในช่วงวิกฤติโควิด-19 นี้ ตนได้ชี้แจงให้ทางโรงเรียนไปแล้ว และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็มีความเป็นห่วงว่า การสอบควรใช้สังเกตุพฤติกรรม และให้คะแนนตามกิจกรรมที่เด็กๆได้กระทำ ซึ่ง สพฐ.ก็ได้แจ้งให้โรงเรียนทุกแห่งไปดำเนินการในการวัดประเมินผลเด็ก ว่า การเรียนการสอนไม่ใช้การสอบเพียงอย่างเดียว แต่การสอบสามารถเน้นใช้การสัมภาษณ์ การสังเกตุ การทำกิจกรรมต่างๆ การอ่าน หรือพฤติกรรมที่เห็นว่าเด็กมีพัฒนาการ เพราะหลักสูตร 51 ก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องสอบอย่างเดียว การประเมินผลมีหลายรูปแบบ แต่มีครูบางคนที่ติดใช้การสอบ ส่วนการวัดมาตรฐานกลาง NT หรือ RT ก็ยังคงต้องทำเพื่อวัดมาตรฐานกลางของเด็ก เพื่อให้ทราบว่ามาตรฐานชาติของเด็กในแต่ละระดับขั้นมีผลการเรียนอยู่ตรงไหนอย่างไร เพื่อให้เห็นการพัฒนาการของเด็กและตอบโจทย์สังคม แต่จะไม่มีผลตัดสินในการเรียนปกติของเด็ก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี