จากฉบับก่อนหน้านี้ จะเห็นว่าปริมาณการช่วยเหลือนั้นแสนจะน้อยนิด เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปี แต่กระนั้นก็อย่าเพิ่งรีบตัดสินนะครับว่า กลไกของแอปเตอร์ดูจะไม่ค่อยสนองตอบอย่างพอเพียงต่อสภาพปัญหาขาดแคลนอาหารของประชาชนอาเซียน เพราะที่จริงแล้ว การที่ประเทศสมาชิกจะร้องขอรับบริจาคข้าวนั้น คงไม่ไช่เรื่องที่กระทำกันง่ายๆ โดยปราศจากการพินิจพิจารณาให้ดูเหมาะดูควร เพราะมันเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลของแต่ละประเทศที่ต้องใคร่ครวญอย่างละเอียด โดยต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเขาด้วย แม้บางทีประเทศอาจขาดแคลนอาหาร เพราะไม่สามารถเพาะปลูกเองได้อย่างพอเพียง หรือประชากรยากจนไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ แต่รัฐบาลก็อาจจะพยายามกำหนดและสร้างยุทธวิธีเพื่อจัดการกับอุปสรรคดังกล่าวโดยไม่จำเป็นต้องร้องขอจากความช่วยเหลือจากต่างประเทศอยู่ร่ำไป
ตัวอย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ผมมาเป็นจีเอ็มของแอปเตอร์ ทั้งๆ ที่ทราบว่าประเทศนี้อัตราการผลิตข้าวภายในยังไม่เป็นที่พอเพียงต่อการบริโภคของประชากร อีกทั้งมักประสบปัญหาภัยธรรมชาติพอๆ กับประเทศฟิลิปปินส์ แต่ทว่าผมไม่เคยได้รับการร้องขอด้านข้าวช่วยเหลือจากประเทศอินโดนีเซียเลยสักครั้งเดียว เท่าที่ทราบ เป็นเพราะนโยบายของท่านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่ไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากนอกประเทศถ้าไม่จำเป็นจริงๆ รวมทั้งไม่ต้องการนำเข้าข้าวด้วย ท่านประธานาธิบดีต้องการที่จะผลักดันการผลิตข้าวให้พอเพียงภายในประเทศ อันที่จริงนโยบาย self-sufficiency นี้มีมานานมาก สำหรับประเทศที่ขาดแคลนข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอินโดนีเซียและประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีพื้นที่ปลูกข้าวจำกัด เนื่องจากส่วนมากเป็นพื้นที่ภูเขา มีที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวน้อย แต่เขาก็กำหนดเป็นนโยบายมาโดยตลอดที่จะผลิตให้พอเพียงให้จงได้ ข่าวล่าสุดทางประเทศอินโดนีเซียกำลังเปิดพื้นทเพาะปลูกข้าวใหม่ในเกาะกาลิมันตัน หรือที่มาเลเซียเรียกว่าเกาะบอร์เนียว เพื่อขยายพื้นที่ข้าวของประเทศ เกือบล้านไร่ คงจะได้ใกล้บรรลุวัตถุประสงค์ในอีกไม่นานนะครับ
ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ก็เช่นกัน แต่ด้วยพื้นที่ปลูกจำกัดมาก ขยายไม่ได้เหมือนอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์จึงเน้นไปที่การเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ ก็ลองทำทุกวิถีทางตั้งแต่ใช้พันธุ์ข้าวผลิตสูงที่ออกโดยสถาบันวิจัยข้าวระหว่างชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศตัวเอง จนมากระทั่งปัจจุบันใช้วิธีเอาพันธุ์ข้าว hybrid หรือข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตสูงมากไปให้ชาวนาปลูก แต่กระนั้นก็ยังคงต้องนำเข้าข้าวจากภายนอกอีก คงถึงที่สุดก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากพลเมืองฟิลิปปินส์มีเยอะมาก เพราะเกือบทั้งหมดเป็นคาทอลิกซึ่งไม่มีการคุมกำเนิดเลย แถมยังเกิดภัยธรรมชาติข้าวปลาเสียหายแต่ละปีจำนวนมหาศาล จึงยากจะสู้ไหว จนท่านประธานาธิบดีคนปัจจุบัน พูดตรงๆ ออกมา ให้ฟิลิปปินส์ยอมรับเสียเถอะว่าคงไม่มีวันเป็นประเทศที่ผลิตข้าวได้พอเพียงอย่างแน่นอน ก็ดีครับจะได้จัดระบบภายในเพื่อรองรับนโยบายนำเข้าข้าวอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่อยู่เป็นเกาะหรือชายขอบทะเล เช่น มาเลเซียก็ผลิตข้าวไม่พอกินภายในประเทศเช่นเดียวกัน แต่มาเลเซียไม่กังวล เพราะมีสตางค์ ปลูกพืชอย่างอื่นได้เงินเยอะกว่าแล้วเอาเงินไปซื้อข้าวสารจากเพื่อนบ้านกิน เช่นเดียวกับเศรษฐีบรูไนและสิงคโปร์ที่แทบจะไม่มีพื้นที่ปลูกข้าวเลย แต่พวกเขากลับมีเงินร่ำรวยมากเหลือล้นจนสามารถซื้อข้าวดีๆ จากประเทศส่งออกไปกินได้ ทำอย่างอื่นได้เงินมากกว่า แล้วซื้อข้าวกิน
แนวคิดข้างต้นที่ว่าทำอย่างอื่นดีกว่าแล้วเอาเงินไปซื้อข้าวกินนี้ ยุคหนึ่งบ้านเราก็มีเทคโนแครตบางคนมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน คือ คงเห็นชาวนาไทยทำนามาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายนับร้อยนับพันปี แต่ฐานะก็ยังคงยากจนอยู่ เลยเกิดความเห็นใจว่า ทำไมทนปลูกข้าวกันแบบจนๆ กันอยู่ได้ ควรเลิกและไปทำอย่างอื่นเถอะ มีเงินแล้วซื้อข้าวกินดีกว่า แนวคิดนี้ฟังเผินๆ ก็ดูเข้าท่าดี เป็นความคิดทันสมัยที่ประเทศเจริญแล้วเขาพยายามที่จะเป็นกัน แต่ถ้าถามว่า แล้วชาวนาบ้านเรา หากเลิกปลูกข้าวจะไปทำอะไรดีล่ะที่ทำแล้วได้เงินมากกว่า หรือที่ทำแล้วรวย อันนี้คือคำถามที่คนวางแนวคิดน่าจะบอกให้จบนะครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี