“ผบช.สตม.” นำทีมแถลงคุมเข้มชายแดน ป้องกัน “โควิด-19” ลามเข้าไทย โชว์ตัวเลขรายเดือนกวาดจับแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้า-ออกประเทศเพียบ
3 กันยายน 2563 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี , พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ชาติชาย ตันติวุฒิวร ผกก.1 บก.สส.สตม. แถลงผลการจับกุมแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้า-ออก ประเทศไทยบริเวณพื้นที่ชายแดน
สืบเนื่องจาก พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม. สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนจับกุมกรณีได้รับแจ้งจากสายข่าวว่ายังมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ตามแนวตะเข็บชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ จ.ตาก และมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยตามแนวตะเข็บชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในพื้นที่ จ.สระแก้ว กก.1 บก.สส.สตม. จึงจัดกำลังออกไปสืบสวนจับกุมร่วมกับ ตม.จว. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่ โดยในห้วงระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2563 มีผลการจับกุมรวมจำนวน 91 คน
รายที่ 1 จับแรงงานเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองโดยมีคนไทยช่วยซ่อนเร้นช่วยเหลือ โดย กก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.ตาก , กก.สส.บก.ตม.5 , สภ.แม่ระมาด และร้อย ตชด.345 จับกุม นายจ่อโพ อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมกับพวกรวม จำนวน 11 คน พร้อมด้วยของกลาง 1.รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่น HILUX REVO สีบรอนซ์เงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 2. ผ้าแสลนพลาสติก 1 ผืน 3.ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลและสำเนาบัตรประจำตัวของนายปิยะ
ทั้งนี้ กล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ฉบับที่ 1/2563 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2563 ประกอบประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ฉบับที่ 3/2563 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2563 นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่ระมาด จว.ตาก ดำเนินคดีตามกฎหมาย และร้องทุกข์กล่าวโทษนายปิยะกับพวกในข้อหา ร่วมกันซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม โดยจับกุมได้ในหมู่บ้านขะเนจื้อ หมู่ 7 ต.แม่ระมาด อ.แม่ระมาด จ.ตาก
พฤติการณ์จับกุม หลังจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อเข้าพื้นที่ในเมืองชั้นในโดยผ่าน อ.แม่ระมาด จ.ตาก ชุดจับกุมจึงร่วมกันวางแผนสืบสวนจับกุมและได้ตรวจพบรถยนต์กระบะมีแสลนพลาสติกสีดำคลุมปิดทับกระบะหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแสดงตัวเพื่อขอตรวจสอบ คนขับได้ขับรถหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้านจนถึงทางตัน และคนขับพร้อมคนที่นั่งหน้ามาด้วยกันได้วิ่งหลบหนีไป จากการเปิดแสลนพลาสติกคลุมกระบะท้าย พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 11 คน
จากการตรวจสอบเอกสารการเดินทางนายจ่อโพ ไม่มีเอกสารใดๆ ส่วนผู้ต้องหารายอื่นมีหนังสือเดินทางและมีวีซ่า แต่ได้เดินทางกลับไปยังประเทศเมียนมาไปก่อนหน้านี้แล้ว และต้องการกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยแต่ด่านตรวจคนเข้าเมืองยังปิดในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (โควิด-19) จึงติดต่อนายหน้าให้ช่วยเหลือ โดยจะเสียค่าใช้จ่าย คนละ 6,000 บาท เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจสอบภายในรถพบใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลและสำเนาบัตรประจำตัวของนายปิยะ จึงได้จับกุมแรงงานต่างด้าวและร้องทุกข์กล่าวโทษกับนายปิยะ พร้อมกับพวกดังกล่าว
รายที่ 2 จับแรงงานเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองโดยมีคนเมียนมาช่วยซ่อนเร้นช่วยเหลือ โดย กก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.ตาก , กก.สส.ภ.จว.ตาก , สภ.พบพระ และ ผบ.ร้อย.ร.422 จับกุมนายอะนิ อายุ 32 ปี สัญชาติเมียนมา พร้อมกับพวกรวม 21 คน โดยกล่าวหานายอะนิ และนายตีมู ว่า ร่วมกันซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต กล่าวหาผู้ต้องหารายอื่นอีก 19 คน ว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.พบพระ จว.ตาก ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บนถนนสาธารณะท้ายหมู่บ้านห้วยไผ่ หมู่ 12 ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก
พฤติการณ์จับกุม หลังจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อเข้าพื้นที่ในเมืองชั้นในโดยผ่าน อ.พบพระ จว.ตาก ชุดจับกุมจึงร่วมกันวางแผนสืบสวนจับกุมและได้พบกลุ่มผู้ต้องหาเดินเท้าต่อแถวกันมาโดยมีนายอะนิ และนายตีมู เป็นคนนำทาง จากการขอตรวจสอบเอกสารเดินทางทุกคน ไม่มีเอกสารใด ๆ แสดง และรับว่าอยู่ที่บ้านเกิดไม่มีงานทำเนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 ต่อมามีนายหน้าไปชักชวนเข้ามาหางานทำในประเทศไทยโดยนายหน้าได้พานั่งเรือข้ามมายังฝั่งไทยแต่ไม่ทราบว่าจุดใดเนื่องจากเป็นเวลากลางคืน แล้วได้พาขึ้นรถกระบะไม่ทราบสี ยี่ห้อ นั่งมาคันเดียวกันทั้งหมด แล้วปล่อยลงข้างทาง โดยมีนายอะนิ และนายตีมู คอยรอรับแล้วพาเดินเท้านำทางไปไม่นานก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ในการเดินทางครั้งนี้ทุกคนเสียค่าหัวให้กับนายหน้าฝั่งประเทศเมียนมาชื่อนางมะไข่ คนละ 2,000 บาท แล้ว เจ้าหน้าที่จึงจับกุมผู้ต้องหา ทั้ง 21 คน ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว
รายที่ 3 จับแรงงานกัมพูชาฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 5 และหลบหนีเข้าเมือง กก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้ว , กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว , สภ.โคกสูง , ส.ทท.3 กก.2 บก.ทท.1 , ร้อย ฉก.ตชด.4 , เจ้าหน้าที่ทหารพราน ฉก.ตาพระยา , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว จับกุมนางลูด อายุ 32 ปี สัญชาติกัมพูชา พร้อมกับพวกรวม 25 คน โดยกล่าวหานางลูด พร้อมกับพวกรวม 16 คน ว่า มั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 5 และกล่าวหาผู้ต้องหารายอื่นอีก 9 คน ว่าเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 5 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกสูง จว.สระแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านหาดสำราญ หมู่ 5 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ออกสืบสวนจับกุมขบวนการช่วยเหลือนำพาคนต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อมาถึงบริเวณบ้านหาดสำราญ หมู่ 5 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว ได้พบผู้ต้องหาทั้ง 25 คน จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบเอกสารเดินทาง นางลูด พร้อมกับพวกรวม 16 คน มีหนังสือเดินทางและได้รับการตรวจประทับตราอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยถูกต้อง ส่วนผู้ต้องหาอีก 9 คน ไม่พบเอกสารใด ๆ โดยขณะตรวจพบผู้ต้องหาทั้ง 25 คน มีการมั่วสุมกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 25 คน ให้การว่าได้เข้ามาทำงานในประเทศไทยและต้องการจะเดินทางกลับไปประเทศกัมพูชา แต่ทางการไทยไม่เปิดด่านตรวจคนเข้าเมืองให้เดินทางออก จึงจะหลบหนีกลับประเทศกัมพูชาโดยเสียค่าจ้างให้กับนายหน้าคนละ 2,500 บาท แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เสียก่อน
รายที่ 4 จับแรงงานกัมพูชาฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 5 กก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้ว, กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว, สภ.โคกสูง, ส.ทท.3 กก.2 บก.ทท.1, ร้อย ฉก.ตชด.4, เจ้าหน้าที่ทหารพราน ฉก.ตาพระยา, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว จับกุมนางไม อายุ 32 ปี สัญชาติกัมพูชา พร้อมกับพวกรวม 25 คน โดยกล่าวหานางไม พร้อมกับพวกรวม 16 คน ว่าเป็นคนต่างด้าว เข้ามาหรือออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่เข้าออกตามช่องทางด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี หรือท้องที่ โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและไม่ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง และไม่ผ่านการตรวจอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมืองประจำเส้นทางนั้น และกล่าวหาผู้ต้องหารายอื่นอีก 9 คน ว่า เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคตามข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 5 นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกสูง จ.สระแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านหาดสำราญ หมู่ 5 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ออกสืบสวนจับกุมขบวนการช่วยเหลือนำพาคนต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อมาถึงบริเวณบ้านหาดสำราญ หมู่ 5 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว ได้พบผู้ต้องหาทั้ง 25 คน จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบเอกสารเดินทาง นางไม พร้อมกับพวกรวม 16 คน แสดงหนังสือเดินทางซึ่งได้รับการตรวจประทับตราอนุญาตให้เดินทางออกจากประเทศไทย และผ่านการตรวจลงตราประทับให้เดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย โดยยังไม่ผ่านการตรวจประทับตราอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ส่วนผู้ต้องหาอีก 9 คน ไม่พบเอกสารใด ๆ โดยขณะตรวจพบผู้ต้องหาทั้ง 25 คน มีการมั่วสุมกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 25 คน ให้การว่าได้เดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย และได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเป็นทางผ่านกลับไปยังประทศกัมพูชา โดยเสียค่าจ้างให้กับนายหน้าเพื่อให้การช่วยเหลือในการเดินทางกลับคนละ 2,500 บาท จนมาถึงที่เกิดเหตุและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมดังกล่าว
รายที่ 5 จับแรงงานกัมพูชาหลบหนีเข้าเมือง กก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้ว, กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว, สภ.โคกสูง, ส.ทท.3 กก.2 บก.ทท.1, ร้อย ฉก.ตชด.4, เจ้าหน้าที่ทหารพราน ฉก.ตาพระยา, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว จับกุมนายทิน อายุ 38 ปี สัญชาติกัมพูชา พร้อมกับพวกรวม 9 คน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกสูง จ.สระแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณสี่แยกบ้านดอนหลุม หมู่ 6 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีชาวกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศไทย จึงได้ร่วมกันวางแผนสืบสวนจับกุมและพบผู้ต้องหาทั้ง 9 คน เดินเท้าผ่านบริเวณสี่แยกบ้านดอนหลุม หมู่ 6 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จว.สระแก้ว จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ขอตรวจหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แสดงหนังสือเดินทาง ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ไม่มีเอกสารแสดง จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.โคกสูง จว.สระแก้ว ดำเนินคดีดังกล่าว
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ประสานภาพ-ข้อมูล : พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รองผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม.ปรท.โฆษก สตม.และ พ.ต.อ.หญิง ทิพวรรณ โยมา ผกก.ฝอ.5(งานประชาสัมพันธ์)บก.อก.สตม.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี