เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จัดเวทีเสวนา “เคมี พระเอก หรือ ผู้ร้าย” ขึ้นเพื่อที่จะทำให้สังคมได้ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของสารเคมี การจัดการสารเคมีตามหลักสากล ในด้านการผลิตและการใช้สารเคมีอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยในงานนี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมให้ความเห็นมากมาย ได้แก่ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายเฉลิมศักดิ์ กาญจนวรินทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทฮาซเคมโลจิสติกส์แมเนจเมนท์ จำกัด ประธานกลุ่ม Responsible care®ดูแลด้วยความรับผิดชอบ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ นายกสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ผู้เชี่ยวชาญ Green Chemistry ดร.นวลศรี ทยาพัชร ผู้เชี่ยวชาญ คณะทำงานสารตกค้างทางการเกษตร JMPR (FAO/WHO) และอดีตผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษกรมวิชาการเกษตร ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และ ศาสตราจารย์นายแพทย์ วินัย วนานุกูล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี
ขุนเกษตรา จะขอยกบทสรุปความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านมาเล่าสู่กันฟังนะครับ โดย ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึง “เคมี” มักจะถูกสังคมมองถึงด้านลบเพียงด้านเดียว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเป็นผู้ร้ายของสังคม และถูกมองว่าเป็นสิ่งอันตราย เป็นภัยต่อผู้ใช้โดยส่วนรวม แต่เราทุกคนลืมไปหรือไม่ว่า “เคมี” ก็เหมือนกับเหรียญสองด้าน มิได้ให้ผลต่อผู้ใช้เพียงด้านเดียว แต่ยังมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้ เพียงแต่เราต้องใช้อย่างถูกวิธี ยกตัวอย่างเช่น กรณีการแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นพาราควอต คลอร์ไพริฟอสและไกลโฟเซต ต่างเป็นสารเคมีที่มีความสำคัญต่อเกษตรกรเป็นอย่างมากในการกำจัดแมลงและวัชพืชที่รบกวนการเพาะปลูก ในขณะที่ผลกระทบต่างๆ ต่อสุขภาพ ที่มีการอ้างอิงถึง ล้วนเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีอย่างไม่ถูกต้อง ขาดความรู้ในเรื่องใช้อย่างแท้จริง
ในขณะที่ ดร.จรรยา มณีโชติ ได้กล่าวถึงประเด็นของข่าวการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในน้ำดื่ม จ.น่าน เกินค่ามาตรฐานสากล ข่าว “โรคเนื้อเน่า” สาเหตุจากพาราควอต ที่ จ.หนองบัวลำภู และการตกค้างของพาราควอตในซีรั่มแม่และในขี้เทาทารก ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้สังคมเกิดความตื่นตระหนกว่า เกษตรกรไทยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากจนผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัย เกิดวาทกรรม “สารพิษอาบแผ่นดิน” แต่จากการสืบค้นหาความจริง พบว่า น้ำดื่มเมืองน่านยังปลอดภัย แต่นักวิจัยอ้างค่ามาตรฐานผิดจากความจริง และเมื่อลงพื้นที่หาสาเหตุโรคเนื้อเน่า เดือนธันวาคม 2562 เก็บตัวอย่างตะกอนดินและน้ำไปวิเคราะห์ผล คือ ไม่พบการตกค้างของพาราควอต แต่พบเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของโรคเนื้อเน่า ส่วนงานวิจัยพาราควอต ในขี้เทาทารก พบว่ามีข้อน่าสงสัยหลายประการในวิธีการทดลองของนักวิจัย ดังนั้น สมาคม จึงเสนอขอทบทวนมติการแบนพาราควอต เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่า ขั้นตอนการพิจารณายกเลิกการใช้พาราควอต ไม่ใช่ขั้นตอนปกติของกรมวิชาการเกษตร เพราะนอกจากการแบนสารอย่างเร่งรีบแล้ว ยังไม่มีความพร้อมของสารทดแทน ที่มีคุณสมบัติ ประสิทธิภาพและราคาที่ใกล้เคียงกับพาราควอต ไม่มีชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง มีแต่ชีวภัณฑ์ปลอมปนด้วยสารพาราควอต และไกลโฟเซต เมื่อพาราควอตถูกแบนไปเมื่อ 1 มิถุนายน 2563 กษ.ประกาศให้เวลาเกษตรกร 90 วัน เพื่อนำพาราควอตมาส่งคืนเพื่อเผาทำลายภายใน 29 สิงหาคม 2563 แต่ อย. กลับผ่อนผันให้ภาคอุตสาหกรรมนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศที่ยังใช้พาราควอตและมีค่าตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐาน CODEX ไปจนถึง 1 มิถุนายน 2564 ทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อคิดว่า พาราควอตตกค้างนิดเดียวก็อันตราย แต่ทำไมยังอนุญาตให้นำเข้าอาหารที่ปนเปื้อนพาราควอตมาให้คนไทยบริโภค กระทรวงเกษตรฯ ควรจะผ่อนผันให้เกษตรกรใช้ไปได้จนถึงปีหน้า ภายใต้มาตรการจำกัดการใช้ และในระหว่างการผ่อนผัน ควรตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิจากสองฝ่าย มาร่วมกันทบทวนหลักฐานที่ใช้ประกอบการแบนพาราควอตว่าถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือหรือไม่ เพื่อลดความขัดแย้งและความไม่เสมอภาคที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
นี่เป็นเพียงบางช่วงบางตอนของความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านที่ต้องการสื่อไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่อยากให้พิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์ทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค เพราะในโลกนี้ไม่มีสารเคมีใดไม่เป็นอันตราย แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและการรู้จักใช้อย่างรับผิดชอบ การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแก่เกษตรกร และสนับสนุนแนวทางการปฏิบัติทางเกษตรที่ดี หรือเกษตรปลอดภัย น่าจะเป็นทางออกที่ถูกต้องและยั่งยืนสำหรับภาคเกษตรไทยได้ดีที่สุด
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี