สยบม็อบประมง! รัฐเปิดโต๊ะเจรจา เคลียร์ปม 14 ข้อเรียกร้อง
7 กันยายน 2563 นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากกรณีที่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้แก้ไขปัญหาชาวประมงพื้นบ้าน ทรัพยากรประมง และทะเลชายฝั่ง ใน 14 ประเด็น เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 ที่ผ่านมานั้น กรมประมงโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้เปิดโต๊ะจัดประชุมเพื่อชี้แจงการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ทั้ง 14 ข้อ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563
ทั้งนี้ ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมเจ้าท่า และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมให้ข้อคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมปรากฏว่าได้ข้อยุติเป็นที่พอใจของชาวประมงพื้นบ้าน ขอสรุปภาพรวมดังนี้
1.ข้อเรียกร้องซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ การแก้กฎหมายตามข้อเสนอของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาคประมงและแรงงานในภาคประมง ซึ่งกำลังพิจารณาข้อกฎหมายที่สมาพันธ์ฯ ขอแก้ไข 3 มาตรา และจะเสนอตามขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมายระดับพระราชบัญญัติต่อไป
ส่วนข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการออกมาตรการในการกำหนดขนาดของสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ควรจับ การนำระบบโควตาในการจับสัตว์น้ำบางชนิดแทนการกำหนดจำนวนวันทำการประมงต่อรอบปีการประมง การกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องมือประสิทธิภาพสูงบางชนิด ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและความเป็นไปได้ในการนำมาใช้บังคับ
ทั้งนี้ ทุกประเด็นได้มีคณะทำงานจากหลายภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผู้แทนประมงพื้นบ้าน ผู้แทนจากองค์กรภาคเอกชน เมื่อได้ข้อสรุปจะได้นำไปรับความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเสนอระดับนโยบายและคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อออกมาตรการ และนำมาใช้ต่อไป
2.ประเด็นข้อเสนอใหม่ ซึ่งภาครัฐรับข้อเสนอไปดำเนินการ ได้แก่ การขอทราบสถิติการทำการประมงนั้น กรมประมงไม่ได้ขัดข้องและได้ส่งข้อมูลจากการบันทึกการทำการประมง ตั้งแต่ปี 2559 – 2562 ให้แก่สมาคมสมาพันธ์ฯ ตามที่ร้องขอแล้วหลังเสร็จสิ้นการประชุม การออกใบรับรองมาตรฐานการทำการประมงพื้นบ้านอย่างยั่งยืน และการแปรรูปสินค้าประมงพื้นบ้านตามมาตรฐานที่กำหนด โดยกรมประมงจะเร่งรัดการประกาศใช้มาตรฐานดังกล่าวภายใน 15 กันยายน 2563 นี้
ขณะเดียวกันยังมีเรื่องการขอให้กรมประมงพิจารณาออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านนั้น กรมประมงรับข้อเสนอและจะเร่งรัดการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 โดยกรมประมงจะหารือร่วมกับสมาคมสมาพันธ์ฯ และผู้แทนสมาคมประมงพื้นบ้าน ใน 23 จังหวัดชายทะเล เพื่อพิจารณาชนิดและขนาดของเครื่องมือทำการประมงพื้นบ้านที่ต้องขออนุญาตภายหลังจากที่กรมเจ้าท่าดำเนินการจดทะเบียนเรือประมงพื้นบ้านแล้วเสร็จในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้
นอกจากนั้นยังมีเรื่องการขอทำการประมงในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ โดยผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้รับข้อเสนอและจะเชิญผู้แทนสมาคมสมาพันธ์ฯ ร่วมพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง การจัดตั้งโรงเรียนชาวประมง ประเด็นนี้กระทรวงแรงงานรับไปศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมใน 23 จังหวัดชายทะเล ร่วมกับกรมประมง กรมเจ้าท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
อธิบดีกรมประมง กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ประมงจังหวัด ประมงอำเภอ รวมถึงเจ้าหน้าที่ในสังกัด เร่งชี้แจงทำความเข้าใจในสิ่งที่ภาครัฐได้ดำเนินการและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้ชาวประมงในแต่ละพื้นที่ได้รับทราบรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ผลการดำเนินการของรัฐ ตามประเด็นข้อเรียกร้องดังกล่าวได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
นอกจากนี้ ในวันที่ 8 กันยายน 2563 กรมประมงยังได้เชิญทางสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและสมาคมประมงทั้ง 22 จังหวัดชายทะเล ซึ่งได้มีการยื่นข้อเรียกร้องมาก่อนหน้านี้ มาหารือถึงแนวทางออกของการแก้ไขปัญหาประมงร่วมกันอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการและบริบทของแต่ละพื้นที่ ตลอดจนความร่วมมือของทุกภาคส่วน กรมประมงจะขับเคลื่อนภารกิจนี้ ภายใต้แนวนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของอาชีพประมงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี