ก่อนหน้านี้ “นสพ.แนวหน้า” นำเสนอเรื่องราวการทำงานของ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อช่วยประชาชนโดยเฉพาะในภาคเกษตรปรับตัวรับมือวิกฤติต่างๆ รวมถึงล่าสุดคือการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ภาคใต้ (“โควิด” ทำ “ด้ามขวาน” ซบเซา “พอเพียง-ปรับตัว” ประคองชีพ : หน้า 17 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันพุธที่ 9 ก.ย. 2563) ให้อยู่ได้แบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
ส่วนฉบับนี้ เป็นเรื่องราวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย จำเริญ ยุติธรรมสกุล ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ กล่าวว่า โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะว่างงานของโควิด-19 ในพื้นที่ต้นแบบปิดทองหลังพระ 3 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย อุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากการว่างงานของประชาชนที่ถูกระงับหรือยกเลิกการจ้างจากภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ศึกษาเรียนรู้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อแก้ไขวิกฤติของประเทศจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งปัญหาเดิมที่ยังคั่งค้าง ทั้งภัยแล้งและเศรษฐกิจตกต่ำ ด้วยการจัดทำโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานรากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยนำประสบการณ์การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ต้นแบบมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น และอุดรธานี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ว่างงานที่กลับภูมิลำเนาให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ
จำเริญกล่าวต่อไปว่า เป้าหมายให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการได้รับประโยชน์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ เกิดเป็นระบบกระจายน้ำซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาชีพเกษตรสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการทำการเกษตร สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างน้อยในขั้นอยู่รอด 2.เกิดธุรกิจใหม่ ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดและ 3.เกิดความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นและชุมชนพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต โดยนำศาสตร์พระราชาแนวพระราชดำริ และความรู้สากลตามหลักวิชาการไปประยุกต์ใช้
ซึ่งภาพรวมการดำเนินงานโครงการ ใน 3 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 ถึงวันที่ 10 ส.ค. 2563 มีการจ้างงานผู้ตกงาน 369 คน แบ่งเป็นพนักงานโครงการ 57 คน อาสาพัฒนาหมู่บ้าน 312 คน มีแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำและสร้างอาชีพรวม 107 โครงการผู้รับประโยชน์ 5,325 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 30,900 ไร่ งบประมาณลงทุน 48,836,012 บาท คาดการณ์ รายได้เกษตรกรที่จะได้รับ 217 ล้านบาทต่อปี
เฉลี่ยรายได้ที่เกษตรกรจะได้รับ 7,000 บาท/ไร่ หรือ 3,400 บาท/เดือน ปัจจุบันแล้วเสร็จ 96 โครงการ เฉพาะของจังหวัดขอนแก่นมีการจ้างงาน 145 คน แบ่งเป็นพนักงานโครงการ 26 คน อาสาพัฒนาหมู่บ้าน 119 คน มีการพัฒนาแหล่งน้ำและอาชีพ 46 โครงการ ผู้รับประโยชน์ 1,892 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 11,118 ไร่ งบประมาณลงทุน 14,433,441 บาท ปัจจุบันแล้วเสร็จ 43 โครงการ
“แม้การดำเนินงานจะเริ่มในเวลาไม่นานแต่ความสำเร็จจากโครงการส่งผลในหลายมิติ ผู้เข้าร่วมมีรายได้การทำงานตามโครงการ เกิดการพัฒนาระบบน้ำเพื่อการเกษตร ทำให้เกษตรกรมีน้ำไว้ใช้ เกิดผลผลิตที่ช่วยลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน เกิดรูปแบบของความร่วมมือ ประสานงานกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งปิดทองหลังพระฯ ระดับจังหวัด ระดับกระทรวง และภาคีภาคเอกชน และยังสามารถขยายผลไปสู่โครงการอื่นของระดับจังหวัด จนถึงโครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังโควิด-19 ของรัฐบาล” จำเริญ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง อนุชภูมิ จารุจินดา หัวหน้าพื้นที่ต้นแบบ โครงการปิดทองหลังพระฯ เล่าถึงโครงการเสริมสร้างศักยภาพระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ณ บ้านคำบงพัฒนา หมู่ที่ 8 ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ว่า เดิมทีชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ทำไร่ ทำนา ที่เหลือเป็นงานรับจ้างทั่วไป แต่ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นดินทรายขาดแคลนน้ำอาศัยแต่น้ำฝนตามฤดูกาล ปีไหนแล้งก็จะมีน้ำไม่เพียงพอแม้จะมีการขุดบ่อน้ำก็ยังไม่พอใช้
นอกจากนั้น การทำการเกษตรก็เป็นแบบพึ่งพาพืชเชิงเดี่ยว นิยมใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้มีต้นทุนสูง ขายผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร เกิดปัญหาตามมา เนื่องจากขาดความรู้ในการทำการเกษตรยุคใหม่ ชาวบ้านไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งโครงการเสริมสร้างศักยภาพระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่นี่ เป็นหนึ่งใน 46 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำของจังหวัด เริ่มจากการพัฒนาระบบสูบน้ำเข้าสู่แปลงเกษตรให้เพียงพอ
“ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เชื่อมต่อกับโครงสร้างหอถังยกสูง และกระจายน้ำผ่านท่อเมนหลักและท่อย่อยเข้าสู่แปลงเกษตรในพื้นที่ จากนั้นจึงส่งเสริมกิจกรรมทางการเกษตรหลังมีระบบน้ำแล้ว เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยคนในชุมชนที่เป็นผู้รับประโยชน์จะร่วมสละแรงงาน และสถาบันฯ สนับสนุนจัดหาวัสดุอุปกรณ์และสนับสนุนองค์ความรู้
มีชาวบ้านได้รับประโยชน์ 31 ครัวเรือน มีน้ำเพียงพอในการทำนา เลี้ยงสัตว์ เช่น โค กระบือ ไก่ เป็ด ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม และมีอาชีพเสริมหลังจากมีระบบน้ำของโครงการฯ ทำให้มีน้ำการเกษตร น้ำอุปโภคและบริโภคที่เพียงพอตลอดทั้งปี โดยเกษตรกรได้รวมกลุ่มปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน ซึ่งสามารถลดรายจ่ายได้เฉลี่ย 41 บาท/วัน/ครัวเรือน เฉลี่ย 1,230 บาท/เดือน/ครัวเรือน พึ่งพาตนเองได้ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อย่างน้อยในขั้นอยู่รอด ซึ่งเป็นไปตามหลักการของโครงการ” อนุชภูมิ ระบุ
อนุชภูมิกล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้น ไม่เฉพาะจากการจ้างงานผู้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เท่านั้น แต่เป็นความตั้งใจของคนทำงานที่ร่วมแรงร่วมใจกับคนในชุมชน ในรูปแบบที่ “ร่วมคิด-ร่วมทำ” เติมเต็มโอกาสที่ชาวบ้านไม่มีก่อนหน้านี้ให้กับบ้านเกิดของตนเอง ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่มีความตั้งใจทำเกษตรแบบยั่งยืน ทั้งด้านเกษตรและ ปศุสัตว์ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง โดยมีการวางแผนพัฒนากิจกรรมต่อเนื่อง เช่น การปลูกพืชผักตลอดปี การทำข้าวนาปี การเลี้ยงไก่ไข่ ไก่เนื้อ รวมทั้งพืชและสัตว์เศรษฐกิจอื่นๆ
และเสริมความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น การปรับปรุงคุณภาพดิน การทำปุ๋ยชีวภาพการวิเคราะห์ปัจจัยการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคพืชโรคสัตว์ การผลิตและพัฒนาอาหารสัตว์ และการตลาดต่อไป!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี