วันเสาร์ ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
ศาลอุทธรณ์ฯยกฟ้อง'อดีต ผกก.ป.-อัจฉริยะ' ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ศาลอุทธรณ์ฯยกฟ้อง'อดีต ผกก.ป.-อัจฉริยะ' ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

วันจันทร์ ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2563, 11.02 น.
Tag : ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ อดีต ผกก.ป. อัจฉริยะ
  •  

ศาลอุทธรณ์ฯยกฟ้อง"อดีต ผกก.ป.-อัจฉริยะ" ถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันถอนเงินคุ้มครองสิทธิฯ

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซอยสีคาม ถ.นครไชยศรี ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาล อุทธรณ์ หมายเลขดำ อท.(ผ) 23/2559 หมายเลขแดง อท.(ผ) 146/2559 ที่ น.ส.รัฏฏิการ์ ชลวิริยะบุญ เจ้าของร้ายจำหน่ายโทรศัพท์มือถือย่านมาบุญครอง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก อดีต ผกก.สอบสวน บก.ป. , พ.ต.ท.ชัยพร นิตยภัตร์ สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. , พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข (ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) , นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม , นายณัฐพสิษฐ์ ชาญจรูญจิต , น.ส.วิภาณี ต๊ะมามูล น.ส.ธนสร แก้วเทพ เป็นจำเลยที่ 1 - 7 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


กรณี น.ส.รัฏฏิการ์ เจ้าของร้านรับซื้อขายแลกเปลี่ยนและซ่อมแซมอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ย่านมาบุญครอง ชื่อร้าน EST2001 , ร้าน INSTALL และมีร้านของสามีชื่อร้าน 55 โฟน ส่วนจำเลยที่ 1 - 3 เป็นพนักงานสอบสวนสังกัด กก.1 บก.ป. จำเลยที่ 4 เป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จำเลยที่ 5 - 7 เป็นผู้สั่งซื้อโทรศัพท์มือถือเพื่อนำไปขายต่อ โดยเมื่อเดือน ก.ค.2556 ถึง ม.ค.2557 น.ส.บุศรินทร์ ยื่อโหนด และนายมนัส โชติขัน มาซื้อโทรศัพท์ที่ร้านของโจทก์ และร้านอื่นๆ ในย่านมาบุญครอง ราคาท้องตลาดจำนวนกว่า 2,000 เครื่อง นำไปหลอกลวงผู้อื่นว่าจะขายให้ราคาต่ำกว่าทุน แต่เมื่อหลอกลวงได้จำนวนมากแล้ว (โดยได้หลอกลวงจำเลยที่ 5 - 7 ด้วย) ได้หลบหนีไป ต่อมา น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส ถูกจับ และศาลพิพากษาจำคุกคนละ 20 ปี

พนักงานสอบสวนตรวจสอบบัญชีของ น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส พบการโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์และผู้อื่นอีก 20 กว่าราย แต่เลือกบัญชีของโจทก์เพียงบัญชีเดียวว่า เป็นบัญชีที่รับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชน และแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้อายัดเงินในบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขามาบุญครอง ชื่อบัญชีโจทก์ เลขที่บัญชี 7022883555 เลขที่บัญชี 7022484499 และบัญชีของโจทก์อีก 3 บัญชี ซึ่งโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านแล้ว ต่อมา ปปง.มีหนังสือถึงโจทก์ ลงวันที่ 24 เม.ย.2558 แจ้งมติคณะกรรมการธุรกรรม ปปง.เห็นชอบให้เลขาธิการ ปปง.ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ดำเนินการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย และให้ดำเนินการกับทรัพย์สิน ตาม พ.ร.บ.ปปง.2542 มาตรา 49 วรรคหก และ ป.วิฯ อาญา มาตรา 85

จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ส่งมอบพยานหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินให้จำเลยที่ 5 - 7 ไปแจ้งความดำเนินคดีโจทก์ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จึงถือว่าจำเลยทั้ง 7 ได้ร่วมกันกระทำความผิด แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษ ว่า โจทก์ร่วมกับ น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส ร่วมกัยฉ้อโกงประชาชน โดย น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส โอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงเข้าบัญชีโจทก์ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะความจริงโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายโทรศัพท์ระหว่างจำเลยที่ 5 - 7 กับ น.ส.บุศรินทร์ และนายมนัส แต่อย่างใด ส่วนเงินที่โอนมาเป็นเงินค่าโทรศัพท์ ไม่ใช่เงินที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชน

ต่อมาระหว่างเดือน ก.ย.2558 ถึงวันที่ 8 ต.ค.2558 จำเลยที่ 5 มีหนังสือถึง ผบก.ป.เร่งรัดให้ดำเนินการตามคำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม ปปง.โดยออกคำสั่งให้ธนาคารกสิกรไทย สาขามาบุญครอง อายัดบัญชีเลขที่ 7022883555 จำนวนเงิน 11,534,800.70 บาท และบัญชีเลขที่ 7022484499 จำนวนเงิน 94,550.79 บาท ผบก.ป.จึงส่งให้จำเลยที่ 1 - 3 พิจารณาและออกคำสั่งไปยังธนาคารกสิกรไทย

กระทั่งวันที่ 8 ต.ค.2558 จำเลยที่ 1 - 3 นัดจำเลยที่ 4 และ 5 มารับเงินทั้งสองจำนวนที่ธนาคารกสิกรไทย สาขามาบุญครอง และจำเลยที่ 1 - 3 ให้ธนาคารถอนเงินในบัญชีของโจทก์ จำนวนเงิน 11,534,800.70 บาท และจำนวนเงิน 94,550.79 บาท ส่งมอบให้จำเลยที่ 5 ในเวลา 18.18 น.

การกระทำของจำเลยที่ 1 - 3 จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทั้งยังเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษหนักขึ้น ส่วนจำเลยที่ 4 - 7 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 - 3 เพื่อเอาเงินของโจทก์ไปโดยมิชอบ จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

คดีนี้ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งยกฟ้องในชั้นตรวจฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนเเล้วมีมูลจึงให้ประทับรับฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 และ 2 ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เฉพาะกรณีเกี่ยวกับจำนวนเงินที่คณะกรรมการ ปปง.มีมติให้คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายกรณีนำเงินที่ได้จากการถอนเงินในบัญชีของโจทก์ในส่วนที่เป็นการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายและส่วนที่เกินอันเนื่องมาจากการแจ้งผิดหลงของคณะกรรมการ ปปง.มาแบ่งกัน และจำเลยที่ 4 - 7 ในข้อหาสนับสนุนจำเลยที่ 1 - 2 เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 - 7 ในข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อกลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นต้องได้รับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 , 174 , 200

ต่อมาวันที่ 27 มี.ค.2563 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่รับรู้เหตุการณ์โดยตรงหรือประจักษ์พยานถือเป็นเพียงพยานบอกเล่าอีกทั้งเทปบันทึกเเละข้อความในไลน์ที่กล่าวอ้างเป็นพยานก็ไม่ได้มีการตรวจสอบเเละเซ็นรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ

โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลยด้วย วันนี้พวกจำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาล

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในประการแรก ว่า การกระทำของจำเลยที่ 5 - 7 มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 , 174 หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 5 - 7 แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.บุศรินทร์ ยี่โหนด และนายมนัส โชติขัน จนทั้งสองถูกจับกุมดำเนินคดี เมื่อต่อมาพนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสองโอนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง ซึ่งรวมเงินของจำเลยที่ 5 - 7 ด้วยแล้วมีการโอนเงินไปเข้าบัญชีผู้อื่นหลายรายรวมทั้งบัญชีเงินฝากของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 5 - 7 ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ร่วมกับบุคคลทั้งสองกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเห็นได้ว่าเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงไปตามลำดับเหตุการณ์ โดยข้อเท็จจริงที่แจ้งดังกล่าวก็มีมูลความจริงที่โจทก์เองก็ยอมรับว่ามีการรับโอนเงินจากบุคคลทั้งสองจริง จึงมิได้มีข้อความใดที่จำเลยที่ 5 - 7 กล่าวอ้างอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง

ส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 5 - 7 แจ้งหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญถึงแม้จำเลยที่ 5 - 7 จะแจ้งต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ก็น่าเชื่อว่าเป็นการที่จำเลยที่ 5 - 7 กล่าวอ้างไปตามที่รับทราบข้อมูลมาจากพนักงานสอบสวนตามความเข้าใจของตน

ส่วนที่โจทก์รับโอนเงินมาดังกล่าวจะเป็นความผิดหรือไม่เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไปการกระทำของจำเลยที่ 5 - 7 ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 , 174 หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่มีมูลชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ส่วนกระทำของจำเลยที่ 1 - 3 มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 , 200 และการกระทำของจำเลยที่ 4 - 7 มีมูลเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 - 3 ในส่วนนี้หรือไม่

โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงเส้นทางการเงินได้โอนไปยังผู้รับโอนหลายราย เหตุที่จำเลยที่ 5 - 7 เลือกที่จะแจ้งเอาเฉพาะกับโจทก์ก็อาจเป็นเพราะรายของโจทก์มีการรับโอนเงินเป็นจำนวนมากมียอดเงินสูง รวมถึงยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากของโจทก์ เพราะการแจ้งก็เป็นการสืบเนื่องมาจากเพื่อต้องการให้ได้รับเงินคืน

ศาลอุทธรณ์ญเห็นว่าการแจ้งเฉพาะโจทก์นั้นจำเลยที่ 5 - 7 อาจเห็นได้ว่าเพียงพอที่ตนเองจะได้รับบรรเทาความเสียหายได้ดีกว่าผู้รับโอนรายอื่นเท่านั้นการไม่แจ้ง หรือไม่ดำเนินการแจ้งเอากับรายอื่นก็หาทำให้การกระทำของโจทก์เป็นความผิดไป แต่เพียงผู้เดียวโดยที่ผู้รับโอนเงินรายอื่นจะพ้นผิดไปก็หาไม่จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 - 3 มีพฤติการณ์ไม่สุจริตเลือกปฏิบัติเฉพาะรายของโจทก์ ทำนองเดียวกันการที่จำเลยที่ 1 - 3 นัดให้จำเลยที่ 5 - 7 มารับเงินที่เบิกถอนจากบัญชีของโจทก์ในเวลาหลัง 18.00 น.ก็เป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา และการร่วมกันเบิกถอนเงินในวันที่ 8 ต.ค.2558 ที่โจทก์อุทธรณ์ว่ามีการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และมีการบังคับใช้ฉบับที่แก้ไขใหม่แล้ว จำเลยที่ 1 - 3 ก็ทราบอยู่แล้ว เพราะทนายความโจทก์ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อนแล้ว ก็ได้ความจากที่ทนายโจทก์เองเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 และที่ 5 - 7 ถามค้านว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่เบิกความว่ามีการแก้ไขใหม่ คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 ในมาตรา 2 ระบุให้ใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป การเบิกถอนเงินจากบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้จึงเป็นวันก่อนที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลใช้บังคับ จึงเป็นอำนาจที่ยังสามารถกระทำได้ จำเลยที่ 1 - 3 จำต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับที่ได้มีการแก้ไขใหม่ไม่

การกระทำของจำเลยที่ 1 - 3 ในส่วนนี้จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 , 200 และการกระทำของจำเลยที่ 4 - 7 จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 - 3 ในส่วนนี้ด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบ แล้วศาลอุทธรณ์ฯ เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก \'ตี้ วรรณวลี\' 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา คดี ม.112 ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก 'ตี้ วรรณวลี' 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา คดี ม.112
  • ยกฟ้อง‘อดีต สว.อุปกิต’ทุกข้อหาคดีฟอกเงินยาเสพติด จ่อฟ้องกลับ-คืนฉายา‘ทรงเอ’ให้‘โรม’ ยกฟ้อง‘อดีต สว.อุปกิต’ทุกข้อหาคดีฟอกเงินยาเสพติด จ่อฟ้องกลับ-คืนฉายา‘ทรงเอ’ให้‘โรม’
  • ศาลนนทบุรีพิพากษาคดี ‘แตงโม’ ยกฟ้อง4จำเลย ข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ศาลนนทบุรีพิพากษาคดี ‘แตงโม’ ยกฟ้อง4จำเลย ข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต
  • ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนคดี 112 คุก \'ฟ้า พรหมศร\' 2 ปี ปรับ 100 ยกฟ้อง\'แอมมี่\' ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนคดี 112 คุก 'ฟ้า พรหมศร' 2 ปี ปรับ 100 ยกฟ้อง'แอมมี่'
  • เปิดคำพิพากษายกฟ้อง\'ทนง พิทยะ\' อดีตประธานการบินไทย คดีสินบนโรลส์-รอยซ์ เปิดคำพิพากษายกฟ้อง'ทนง พิทยะ' อดีตประธานการบินไทย คดีสินบนโรลส์-รอยซ์
  • ศาลยกฟ้อง\'ทนง พิทยะ\'อดีตปธ.บอร์ดบินไทย พ้นผิดทุจริตจัดซื้อเครื่องยนต์\'โรลส์-รอยซ์\' ศาลยกฟ้อง'ทนง พิทยะ'อดีตปธ.บอร์ดบินไทย พ้นผิดทุจริตจัดซื้อเครื่องยนต์'โรลส์-รอยซ์'
  •  

Breaking News

'นัสเมียโชค'ทัวร์ลงหนัก ปมแซะ'นิ้ง โสภิดา' สุดท้ายต้องรัวคำขอโทษ!

'ดร.ดิเรกฤทธิ์'คาดหวัง'ศาลฎีกา-ศาล รธน.' ชี้ชะตาประเทศ 'สันติสุขหรือลุกเป็นไฟ'

วิจารณ์ยับ! 'วิรังรอง'ฟันธง 'พ่อออกโรง'ช่วยลูกตกกระป๋อง โผล่บ้านพิษณุโลกแค่ปั่นกระแส

’วันนอร์‘เตรียมลงพื้นที่ยะลาเปิดโครงการรัฐสภาพบประชาชนครั้งที่ 2 14 ก.ค.นี้

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved