เมื่อเวลา 15.40 น.วันที่ 16 กันยายน 2563 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตัวแทนนักเรียนกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ยื่นหนังสือ เรื่องกฎระเบียบทรงผมและการฟังความคิดเห็นของนักเรียน ถึง นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยมี นายสนิท แย้มเกสร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) รับเรื่องแทน
โดยตัวแทนนักเรียนฯ กล่าวว่า ตามที่สำนักงานปลัด ศธ.ได้ออกหนังสือเรื่อง การเปิดรับฟังความเห็นของนักเรียน นักศึกษา เพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 โดยในหนังสือมีเนื้อความเกี่ยวกับให้สถานศึกษาเปิดรับฟังความเห็นของนักเรียน นักศึกษา ในประเด็นเกี่ยวกับระบบการศึกษาและการเมืองรวมถึงการทบทวนข้อ 7 ของระเบียบทรงผมของนักเรียน
ทั้งนี้ ทางกลุ่มขอบคุณ ศธ.ที่ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่นักเรียนกำลังเผชิญอยู่ พยายามค้นหาวิธีทางการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น แต่ก็ยังแก้ไขได้ไม่ตรงจุด ยังมีสถานศึกษาอีกจำนวนมาก ยังไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ยังมีการกำหนดระเบียบเพิ่มเติมเรื่องการไว้ทรงผมของนักเรียน เช่น การที่ครูแจ้งว่า "ทรงนักเรียนเป็นทรงผมที่มีความเรียบร้อยกับนักเรียนชั้น ม.ต้น และเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนเรามาแต่ช้านาน ทรงนักเรียนจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับนักเรียนโรงเรียนของเรา" และทางโรงเรียนได้แจ้งกับครูว่า "ระหว่างที่ยังไม่มีการออกระเบียบใหม่จากโรงเรียน ให้ครูรักษาการในระเบียบเดิม คือ ทรงเกรียนไปก่อน วันจันทร์นี้ขอให้นักเรียนตัดมาด้วย ครูจะตรวจผม ใครไม่ตัดมาจะหักคะแนน" ซึ่งขัดต่อหนังสือที่สำนักงานปลัด ศธ.ได้ประกาศแจ้งไป
ตัวแทนนักเรียนกล่าวต่อว่า อีกทั้งสถานศึกษาอีกจำนวนหนึ่ง ยังไม่มีการเปิดรับความคิดเห็นทางการเมืองและด้านการศึกษาเท่าที่ควร และที่มากกว่านั้น ยังมีการใช้ความรุนแรง หรือการข่มขู่นักเรียนด้วยคำพูด ซึ่งการกระทำเหล่านี้ที่เกิดขึ้นต่อตัวนักเรียน เป็นที่ยอมรับมิได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งยังขัดต่อรัฐธรรมนูญว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของนักเรียน ในฐานะของเยาวชน และประชาชนคนหนึ่ง
"ทางกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท จึงมีข้อเรียกร้องให้ ศธ.ดำเนินการ เพื่อให้แก้ปัญหาได้จริง และมีประโยชน์สูงสุดต่อนักเรียนในมุมมองของกลุ่มฯ และนักเรียนจากทั่วประเทศ 1.ขอให้เพิกถอนกฎนี้ เนื่องจากปรากฏว่ากฎดังกล่าว ได้เป็นฐานทางอำนาจให้กับอาจารย์ และผู้บริหารของโรงเรียนต่างๆ มีช่องทางในการดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพในชีวิต และร่างกาย ซึ่งรับรองตมรัฐธรรมนูญแห่ราชอาณาจักรไทยของนักเรียน โดยการใช้อำนาจเข้ามาควบคุมและจำกัดการไว้ทรงผม ซึ่งเส้นผมเป็นอวัยวะชนิดหนึ่งในร่างกายของนักเรียน ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และเป็นกฎที่ขัด หรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2.ขอให้ ศธ.เปิดรับฟังความคิดเห็นนักเรียนโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง และเปิดให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการแก้ไขหลักสูตรการศึกษาของไทย และกฎของ ศธ.ที่ละเมิดสิทธิ ทั้งนี้ ถึงแม้ ศธ.จะออกหนังสือให้โรงเรียนเปิดรับฟังความเห็นแต่ขั้นตอนการที่ความคิดเห็นของนักเรียนจะส่งไปถึงกระทรวงนั้น ต้องผ่านหลายขั้นตอนทำให้เสียงของนักเรียนนั้นไปไม่ถึงกระทรวงตามจุด ประสงค์จริง นอกจากนี้ยังขอให้ ศธ.ยกเลิกระเบียบเรื่องแบบนักเรียน โดยนักเรียนมีสิทธิที่จะแต่งกายตามความต้องการ และควรจะมีกฎระเบียบในการลงโทษครูที่คุกคามนักเรียนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง" ตัวแทนกลุ่ม กล่าว
ด้าน นายสนิท กล่าวว่า นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สั่งการให้ทุกหน่วยงานเปิดรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน และในวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ศธ.ได้สรุปรวบรวมข้อมูลที่นักเรียนได้นำเสนอมา ซึ่งบางเรื่อง ศธ.ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงไปบ้างแล้ว ขอให้สบายใจว่ารัฐมนตรีว่าการ ศธ.ไม่
ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ศธ.ตั้งคณะทำงานเพื่อกลั่งกรองปัญหาต่างๆ ของนักเรียนแล้ว ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะรวบรวมปัญหาของนักเรียนเพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาต่อไป
"ผมได้เน้นย้ำกับผู้บริหารและครูในการประชุมผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ผมเน้นย้ำว่าและทำความเข้าใจว่าเสียงของนักเรียนแม้มีเสียงเดียวก็มีความสำคัญ ขอให้ฟังและดูแลนักเรียนด้วย" นายสนิท กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี