นายกฯเร่งศบค.
ร่างแผนฟื้นท่องเที่ยวใน-ตปท.
โควิดโลกใกล้แตะ32ล้าน
อังกฤษงัดคุมเข้ม6เดือน
เมียนมาทุ่มงบฉุกเฉินสู้
ปท.ร่ำรวยแห่จองวัคซีน
ไทยพบติดโควิด-19 ใหม่ 3 ราย มาจากญี่ปุ่น-ฝรั่งเศส ขณะที่นายกฯนั่งหัวโต๊ะถก ศบค.ชุดเล็กร่างแผนท่องเที่ยวใน-ตปท. เผยจับมือผู้ประกอบการเอกชนเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง ลุยท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงานที่ปัจจุบันช่วยให้คนมีงานทำได้มากกว่าล้านคนแล้ว ย้ำทุกภาคส่วนรวมใจสร้างชาติไปด้วยกัน ด้านสถานการณ์
โควิดโลกยอดติดเชื้อเฉียด 32 ล้าน ประเทศร่ำรวยแห่จองซื้อวัคซีนแล้วกว่า 5.3พันล้านโดสจาก 5บริษัทที่ใกล้ผลิตได้สำเร็จ ส่วนเมียนมาทุ่มงบฉุกเฉิน1ล้านล้านจ๊าตสกัดไวรัส คาดสิ้นก.ย.จำนวนติดเชื้อพุ่งมากกว่า 1.6 หมื่นราย
เมื่อวันที่ 23 กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) หรือโควิด-19 เปิดเผยสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวันว่า ล่าสุดพบผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,514 คน มีผู้หายป่วยและกลับบ้านเพิ่ม 2 ราย ทำให้มียอดสะสมของผู้รักษาหายแล้วอยู่ที่ 3,345 ราย จำนวนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 59 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 110 ราย
ป่วยใหม่3มาจากญี่ปุ่น-ฝรั่งเศส
สำหรับผู้ป่วยใหม่ 3 ราย แบ่งเป็นผู้ที่มาจากญี่ปุ่น 2 ราย ทั้งหมดเป็นหญิงไทย อายุ 39 ปี อาชีพพนักงานบริษัท และอายุ 53 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ก.ย. เข้าพักในสถานกักกันของรัฐที่จ.ชลบุรี จากการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 21 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ 2.ผู้ที่มาจากประเทศฝรั่งเศส 1 ราย เป็นนักศึกษาชายไทย อายุ 22 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ซึ่งเป็นเที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 3 ราย เข้าพักในสถานกักกันของรัฐที่จ.ชลบุรี และเข้ารับการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 21 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
นายกฯถกศบค.-ฟื้นท่องเที่ยว
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการกำหนด เป้าหมายการท่องเที่ยวภายในประเทศช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าว่า ได้เตรียมข้อมูลต่างๆไว้และนำเข้าหารือในที่ประชุมศบค.ชุดเล็ก เพื่อวางแผนจากท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งเราหามาตรการเสริมเข้ามา เช่น โครงการคนละครึ่ง สิ่งสำคัญแม้รัฐบาลจะระบุว่าเป็นโครงการคนละครึ่ง แต่สิ่งที่ได้มาต้องขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเพราะเป็นผู้ประกอบการ รัฐบาลไม่ใช่ผู้ประกอบการไปสั่งมากไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือว่าการที่จะเข้ามาร่วมในมาตรการดังกล่าว จะต้องขึ้นบัญชี ขึ้นทะเบียน จะได้ไม่มีปัญหารั่วไหล
ในส่วนการท่องเที่ยวของชาวต่างประเทศนั้น นายกฯกล่าวว่า ต้องดูให้รอบคอบ ปัจจุบันยังมีปัญหาเราต้องเตรียมให้พร้อมว่าจะเข้ามาส่วนไหนได้บ้าง เพราะมีทั้งส่วนที่ต้องการและไม่ต้องการ ส่วนที่ต้องการให้เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศก็มีมาตรการพร้อมเสริม ต้องดูรายละเอียดดูสถานการณ์ในประเทศว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไรและเศรษฐกิจที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันจะแก้อย่างไร ด้วยอะไร จะแก้ด้วยในประเทศอย่างเดียวพอหรือไม่ หรือจำเป็นต้องแก้จากต่างประเทศด้วย รวมทั้งรอยรั่ว และช่องว่างปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก็ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ถือเป็นการแก้ปัญหาไปด้วยกัน ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ส่วนราชการและประชาชน ภาคเอกชน
“ต้องขอบคุณบริษัทห้างร้านที่เข้ามาร่วมโครงการจ้างงาน จะเห็นได้ว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เดิมประเมินว่าจะเพิ่มได้ประมาณล้านคน แต่วันนี้เพิ่มเป็นจำนวนล้านคนเศษแล้ว และปัจจุบันยังมีอีกหลายบริษัทที่สนใจเข้ามาร่วมโครงการดังกล่าว นี่คือการรวมใจไทยสร้างชาติ เราต้องไปด้วยกัน”นายกฯกล่าว
ปท.ร่ำรวยจองซื้อวัคซีน5.3พันล.โดส
วันเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงานสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดต่อเนื่องทั่วโลกในขณะนี้ รวมถึงความพยายามคิดค้นวัคซีนป้องกันยับยั้งการระบาดให้ได้ว่า ออกซ์แฟม (Oxfam) องค์กรการกุศลต่อต้านความยากจนระดับโลก เปิดเผยว่า ประเทศร่ำรวยหลายแห่ง รวมถึงสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่นสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปแล้วในจำนวนมากกว่าครึ่งของปริมาณวัคซีนที่คาดการณ์ไว้ว่ามีแนวโน้นจะประสบความสำเร็จถึงร้อยละ 51 ขณะที่ประชากรในกลุ่มประเทศเหล่านี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 13 ของประชากรทั่วโลก
ออกซ์แฟมยังเผยว่า วัคซีน 5 ตัวที่อยู่ในข้อตกลงสัญญาระหว่างรัฐบาลของกลุ่มประเทศเหล่านี้และบริษัทเภสัชภัณฑ์ ได้แก่ แอสตราเซเนกา (AstraZeneca), กามาเลยา/สปุตนิก (Gamaleya/Sputnik), โมเดอร์นา (Moderna), ไฟเซอร์ (Pfizer) และซิโนวัค (Sinovac) จะมีกำลังผลิตรวมกันที่ 5.9 พันล้านโดส มีการทำสัญญาซื้อวัคซีนแล้วถึง 5.3 พันล้านโดส ในจำนวนนี้ถูกสั่งซื้อโดยประเทศพัฒนาแล้ว 2.7 พันล้านโดส ขณะที่อีก 2.6 พันล้านโดสที่เหลือถูกสั่งซื้อหรือจองโดยประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย จีน และบราซิล
อังกฤษคุมเข้มสกัดโควิด6เดือน
ด้านนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษแถลงผ่านโทรทัศน์แห่งชาติเมื่อค่ำวันที่ 22 กันยายน ให้ชาวอังกฤษทำงานที่บ้านหากเป็นไปได้ และสั่งให้ร้านอาหาร และบาร์ปิดในเวลา 22.00 น. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะฤดูหนาวเป็นช่วงที่ลำบาก แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ โดยที่ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ควบคู่กันไป ทั้งนี้ ผู้นำอังกฤษได้ออกมาตรการควบคุมการระบาด ที่จะบังคับใช้เป็นเวลา 6 เดือนนับจากนี้ เพื่อรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อในอังกฤษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน ยังเลือกที่จะไม่ใช้มาตรการปิดเมืองเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยใช้เมื่อเดือนมีนาคม แต่เตือนว่าอาจมีมาตรการเพิ่มเติม หากคุมการระบาดไม่ได้
สหรัฐเซ่นโควิดทะลุ2แสน
มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐรายงานว่า สหรัฐมียอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างน้อย 200,182 คน ผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 6.86 ล้านคน และเป็นประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว โดยมีประชากรคิดเป็นร้อยละ 4 ของประชากรโลก และมียอดผู้เสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 20 ของผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั่วโลก ทั้งนี้ หลายเมืองของสหรัฐอนุญาตให้นักเรียนกลับไปเรียนในโรงเรียนได้แล้ว ขณะที่บาร์และร้านอาหารยังถูกสั่งปิดบริการ และชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยมากขึ้น อย่างไรก็ดี ศูนย์กลางการระบาดของโรคโควิด-19 หลายแห่งในสหรัฐยังเผชิญสถานการณ์ระบาดที่รุนแรง เช่น เขตมิดเวสต์ และวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่เริ่มเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียน
อองซานทุ่มงบฉุกเฉิน1ล้านล้านคุมโควิด
ส่วนที่เมียนมา นางออง ซาน ซูจี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนเมียนมา แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านจ๊าด หรือประมาณ 23,857.53 ล้านบาท เพื่อตอบสนองวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด พร้อมยืนยันว่าแม้เมียนมาไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้เอง แต่รัฐบาลจะพยายามสุดความสามารถในการนำวัคซีนมาฉีดให้ชาวเมียนมา ทันทีที่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศว่า โลกประสบความสำเร็จกับวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวแล้ว
คาดสิ้นกย.ติดเชื้อทะลุ1.6หมื่น
ด้านสำนักงานกรมการแพทย์ของกองทัพเมียนมาเผยแพร่รายงาน ที่ประเมินสถิติแนวโน้มติดเชื้อในประเทศว่า จำนวนผู้ป่วยสะสมจะเพิ่มเป็นมากกว่า 16,000 คน ภายในสิ้นเดือนกันยายน หากทุกฝ่ายในเมียนมาไม่สามารถร่วมกันชะลอการระบาดของเชื้อโควิด-19ได้ภายใน 7 วันนับจากนี้ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อคนแรกเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว รายงานของกระทรวงสาธารณสุขเมียนมาช่วงเช้าวันพุธ ยืนยันผู้ติดเชื้อสะสมอย่างน้อย 6,959 คน เพิ่มขึ้น 216 คน รักษาหายแล้ว 1,951 คน และเสียชีวิตอย่างน้อย 116 คน เพิ่มขึ้น 1 คน
เตือนเกาหลีใต้เจอโควิดซ้อนหวัดใหญ่
ส่วนเกาหลีใต้ สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขออกคำเตือนว่า ในช่วงฤดูหน้าที่กำลังจะมาถึง เชื้อไวรัสโควิด-19 และโรคไข้หวัดใหญ่อาจระบาดซ้อนกัน เนื่องจากการบริหารจัดการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้สถานการณ์โควิด-19 รุนแรงขึ้น อีกทั้ง อาการของทั้งสองโรคนี้คล้ายกันมาก แยกความแตกต่างได้ยาก จึงควรตรวจให้แน่ใจเมื่อมีอาการ ขณะเดียวกัน ทางการเกาหลีใต้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีให้กลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ตั้งเป้าฉีดให้ทั้งหมด 19 ล้านคน ครอบคลุมเด็กอายุ 6 เดือน-18 ปี สตรีมีครรภ์ และผู้มีอายุ 62 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 37 ของประชากรทั้งประเทศ
ผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกเฉียด32ล.
วันเดียวกัน มีรายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกประจำวันใน 213 ประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อรวม 31,823,658 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 976,134 ราย รักษาหายรวม 23,425,868 ราย ซึ่งประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 7,098,291 ราย เสียชีวิตรวม 205,478 ราย รองลงมาอันดับ 2 คือ อินเดีย มีผู้ติดเชื้อสะสม 5,650,540 ราย เสียชีวิตสะสม 90,077 ราย อันดับ 3 บราซิลติดเชื้อรวม 4,595,335 ราย เสียชีวิตรวม 138,159 ราย อันดับ 4 รัสเซีย มีผู้ติดเชื้อ 1,122,241 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 19,799 ราย และอันดับ 5 โคลอมเบีย ติดเชื้อสะสม 777,537 ราย เสียชีวิตสะสม 24,570 ราย ขึ้นมาแทนที่เปรู ซึ่งเลื่อนลงไปอยู่อันดับที่ 6 ที่มีผู้ติดเชื้อสะสม 776,546 ราย เสียชีวิตสะสม 31,586 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี