หวั่นโควิดแพร่ข้ามประเทศ
คุมเข้มชายแดน
นายกฯสั่งกองทัพรับผิดชอบ
สกัดพวกลักลอบเข้าเมือง
สธ.ยันไทยต้องกักตัว14วัน
ไทยป่วยโควิดอีก 3 ราย กลับจาก 3 ประเทศ “สหรัฐ-สิงคโปร์-คูเวต”เผย 2 ราย ประวัติเคยติดเชื้อมาก่อน นายกฯ เตรียมถก ศบค.ชุดใหญ่28 กันยายน เคาะต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน ชี้ยังจำเป็นต้องใช้คุมโควิดที่ยังระบาดหนักทั่วโลก-ประเทศเพื่อนบ้าน กำชับกลางวงสภากลาโหม ให้คุมเข้มตลอดแนวชายแดน
จับตาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เคร่งครัดมาตรการสธ.ระบุการเปิดน่านฟ้า-เปิดรับนักท่องเที่ยว ต้องเตรียมแผนรับมือให้รอบคอบโดยเฉพาะสถานที่กักตัว ขณะสธ.ย้ำไทยต้องกักตัว 14วัน ทำตามตปท.แค่7วันไม่ได้ สถานการณ์ระบาดต่างกัน
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19(ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยประจำวัน
ใหม่3จากสิงค์โปร์/สหรัฐ/คูเวต
โดยศบค.ระบุว่าพบผู้ป่วยใหม่ใหม่ 3 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,519 ราย มีผู้หายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 7 ราย ทำให้มียอดสะสมของผู้ที่รักษาหายแล้วอยู่ที่ 3,360 ราย มียอดสะสมผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 59 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 100 ราย
สำหรับผู้ป่วยใหม่ 3 ราย แบ่งเป็น ผู้ที่กลับจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 42 ปี อาชีพแม่บ้าน มาถึงไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน เข้าพักในสถานกักกันของรัฐที่จ.ชลบุรี และเข้าตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 วันที่ 23 กันยายน ผลตรวจพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ถูกส่งเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลหนองใหญ่
2รายเคยติดเชื้อก่อนกลับไทย
รายที่ 2 กลับจากสิงคโปร์ เป็นชายไทย อายุ 42 ปี อาชีพรับจ้างมาถึงไทยเมื่อวันที่ 18 กันยายน เข้าพักในสถานกักกันของรัฐที่จ.ชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 วันที่ 21 กันยายน ผลตรวจพบเชื้อ ถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสัตหีบ กม.10พบมีประวัติเคยติดเชื้อโควิด-19 ขณะอยู่ที่สิงคโปร์ ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ถูกแยกกักเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมีเอกสารจากสิงคโปร์ว่าพ้นระยะแพร่เชื้อแล้ว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 รายที่ 3.ผู้ที่กลับจากคูเวต เป็นชายไทย อายุ 58 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 22 กันยายนเข้าพักในสถานกักกันของรัฐที่จ.ชลบุรี และจากการเข้ารับการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กันยายน ผลตรวจพบเชื้อ เข้ารักษาที่ รพ.บางละมุง พบมีประวัติติดเชื้อโควิด-19 จากคูเวต โดยพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.และแคมป์คนงาน ก่อนกลับไทย
นายกฯสั่งป้องกันชายแดนเข้มสกัดโควิด
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกล่าวหลังการประชุมสภากลาโหมถึงการประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันจันทร์ที่28กันยายนเพื่อพิจารณาขยายเวลาประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดวันที่30กันยายนออกไปอีก1เดือนว่าทุกคนทราบดีว่าการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีจุดประสงค์ใดซึ่งการประชุมวันนี้ได้กำชับในที่ประชุมให้ป้องกันการลักลอบข้ามมาตามแนวชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำและให้เข้มงวดมาตรการต่างๆ ต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้ยังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี ได้รับคำชมจากต่างประเทศ และนำบทเรียนจากไทย ไปเป็นแนวทางปฏิบัติ
ปัดเปิดน่านฟ้า-รับนทท.รอบคอบ
ส่วนการเปิด-ปิดน่านฟ้าของไทยนั้น นายกฯกล่าวว่า ยังต้องหารือกันต่อไป โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจว่า จะผ่อนคลายเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องเข้ามาดูแลกิจการในไทย ที่อาจเข้ามาระยะเวลาสั้นๆ จึงต้องหาแนวทางว่าจะดูแลกลุ่มนี้อย่างไร ส่วนกรณีของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในอนาคต ก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับเรื่องสถานที่กักตัว
“รัฐบาลทำงานเชิงรุก ไม่ได้แก้ปัญหารายวัน จึงต้องคิดแผนงานล่วงหน้า และทำงานบูรณาการและสอดคล้องกับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหมือนหลายประเทศที่ล็อคดาวน์อยู่ เพราะกฎหมายปกติไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ระบาดได้ โดยมาตรการทั้งหมดจะชี้แจงหลังประชุม ศบค.วันที่ 28 กันยายน”นายกฯกล่าว
ยังไม่คุยลดเวลากักตัว-เร่งแผนรับมือ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีข้อเสนอให้ลดระยะเวลากักตัวจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน โดยตรวจหาเชื้อแบบเข้ม 2 ครั้ง เมื่อกักตัวครบกำหนด 7 วัน หากไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้นั้น นายกฯกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการพูดถึงจำนวนวัน แต่ต้องไปหาวิธีการว่า ผู้ที่เดินทางเข้ามาวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ถ้าเป็นนักธุรกิจที่เข้ามาระยะสั้น อาจทำเช่นเดียวกับกรณีผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ ที่มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงคอยดูแลติดตามตลอด เรื่องนี้ต้องวางแผน เพื่อเตรียมรับมือเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือ ประชาชนต้องเข้าใจ ถ้าไปปลุกระดมให้ไม่เข้าใจหรือปฏิเสธกันไปหมด ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ อยากให้ทุกคนมั่นใจระบบสาธารณสุขของไทย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการตรวจสอบคัดกรองและป้องกันการแพร่ระบาด ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่เดือดร้อน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดูแล ทั้งด้านสุขภาพและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
สธ.ชี้ลดเวลากักตัวแค่แนวคิดเสี่ยงสูง
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีข้อเสนอว่าหากผลอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยระยะยาวไม่พบปัญหา การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จะเสนอลดระยะเวลาการกักตัวนักท่องเที่ยวจาก 14 วัน เหลือ 7 วันว่า เรื่องนี้เป็นเพียงแนวคิด เพราะขณะนี้ต่างประเทศหลายประเทศ ลดจำนวนวันกักตัวคนที่มีความเสี่ยงลง แต่อย่าลืมความเสี่ยงในต่างประเทศ กับในประเทศไทยแตกต่างกันมาก
“ไทย มีอัตราติดเชื้อต่ำมากในชุมชนปลอดภัยกว่าที่กักกัน หากเราปล่อยความเสี่ยงออกจากที่กักกันจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ฉะนั้นถึงจะมีแนวคิดลดการกักตัวจาก 14 วัน เหลือ 7 วันนั้น จึงค่อนข้างเสี่ยงมาก ทั้งนี้ ข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็คล้ายๆข้อเสนอของอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคิดว่าคงมีการติดตามสถานการณ์ต่างประเทศที่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ไทยไม่สามารถคิดแบบเดียวกับต่างประเทศตรงๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างกรรมการวิชาการตามกลไกคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ อยู่ระหว่างการพิจารณา และยังต้องการข้อมูลเพิ่มอีกมาก
ระบุลดเวลากักตัวจะต้องรอบคอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากตรวจหาระดับภูมิคุ้มกัน พบคนไหนมีภูมิคุ้มกันแล้วแปลว่าติดเชื้อมาก่อน อาจจะพิจารณาลดวันกักตัวไม่ต้องถึง 14 วันได้หรือไม่ นพ.โสภณกล่าวว่า การตรวจภูมิคุ้มกันทำให้ทราบว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันมาแล้วน่าจะเสี่ยงน้อยกว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณา คาดว่าน่าจะมีคำแนะนำออกมาจากคณะกรรมการวิชาการเร็วๆนี้ เป็นเรื่องที่กำลังเร่งทำอยู่ โดยหลักก็ยังกักตัว 14 วัน แต่ข้อมูลตรงนี้จะมาเป็นส่วนเสริม เพื่อพิจารณาเพิ่มเติม เรื่องนี้ต้องทำอย่างรอบคอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี