แอปเตอร์ (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR)องค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามนับเป็นอีกหนึ่งองค์กรอิสระระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินทางธรรมชาติในเรื่องของข้าว ซึ่งถือเป็นพืชอาหารหลักที่สำคัญในประเทศอาเซียนอย่างยิ่ง โดยที่ผ่านมาการดำเนินงานขององค์กร ได้เกิดประโยชน์กับประเทศสมาชิกเป็นอย่างมาก ปัจจุบันองค์กร ได้ดำเนินงานมาจนครบ 9 ปีเต็มในวันที่ 7 ตุลาคม 2563 และกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 10 หรือ 1 ทศวรรษ ในปีถัดไป ภายใต้ความพร้อมในการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร
นายชาญพิทยา ฉิมพาลี ผู้จัดการทั่วไปสำนักเลขานุการ APTERR กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจให้จัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ประสานงานในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ นั้น ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2554-2563 แอปเตอร์ได้ทำการระบายข้าวรวมเป็นปริมาณข้าวทั้งหมด 27,899 ตัน สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้มากกว่า 5 ล้านคน ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทยอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งบริจาคโดยประเทศญี่ปุ่น จีน ไทย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ สำหรับการทำงานของแอปเตอร์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการระบายข้าวภายใต้รูปแบบโปรแกรม 3 (Tier 3) เป็นการให้เปล่ากรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม เมื่อประเทศสมาชิกมีการร้องขอ โดยในปี 2563แอปเตอร์ได้รับข้าวบริจาคจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศสมาชิกได้แก่ ประเทศกัมพูชา เมียนมา และฟิลิปปินส์ รวมทั้งสิ้น 3,979 ตัน ซึ่งในนั้นมีข้าวสารจำนวน3,975 ตัน และข้าวพร้อมรับประทานอีก 4 ตัน โดยข้าวสารจำนวน 2,375 ตัน อยู่ในระหว่างการระบายเพื่อช่วยเหลือประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติก่อนหน้านี้ ส่วนข้าวอีกจำนวน 1,604 ตัน จะนำไปเก็บไว้ที่ประเทศสมาชิก ได้แก่ กัมพูชา เมียนมาและฟิลิปปินส์ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
พร้อมกันนั้น แอปเตอร์ยังได้ร่วมมือกับประเทศสมาชิกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนากลไก Tier 3 ให้มีประสิทธิภาพและสามารถให้การช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยได้ทันท่วงที โดยในปีนี้แอปเตอร์ได้นำข้าวพร้อมรับประทาน ซึ่งได้รับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่นมาแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัย ในช่วงภาวะฉุกเฉิน อีกด้วยในส่วนของการใช้ประโยชน์จากกลไกการระบายข้าวของแอปเตอร์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19ที่ผ่านมา แอปเตอร์ได้ออกแถลงการณ์เพื่อเน้นย้ำความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกเพื่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 สอดคล้องกับข้อเสนอจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสามสมัยพิเศษ เมื่อ 14 เมษายน 2563 ที่ผ่านมาที่ได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งของประเทศสมาชิกในการใช้ประโยชน์จากโปรแกรมการระบายข้าวของแอปเตอร์เพื่อป้องกันภาวะการขาดแคลนอาหารในภูมิภาคอาเซียนบวกสาม ซึ่งแอปเตอร์ได้ติดตามสถานการณ์ทางด้านอาหารและร่วมมือกับประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิดซึ่งล่าสุดทางประเทศญี่ปุ่นได้บริจาคเงินช่วยเหลือจำนวน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับประเทศเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบายของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
นายชาญพิทยากล่าวว่า สำหรับรูปแบบการดำเนินงาน โปรแกรม 1 (Tier 1) คือ การระบายข้าวสำรองในรูปสัญญา ภายใต้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งมีปริมาณข้าวสำรองอยู่ 787,000 ตัน นั้น หลังประสบความสำเร็จจากการจัดทำTier 1 ระหว่างประเทศฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น ในปี 2561 ด้วยปริมาณข้าวในรูปสัญญา (earmarked stocks) จำนวนทั้งสิ้น 10,000 ตันแอปเตอร์ได้เชิญชวนใหประเทศสมาชิกทั้ง 13 ประเทศเข้าร่วม Tier 1 เพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อไปของประเทศสมาชิกและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดโลก โดยในปี 2563 แอปเตอร์ยังคงเปิดรับประเทศสมาชิกที่ประสงค์จะเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในอนาคตการดำเนินงานTier 1 น่าจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเพราะเมื่อใดที่เกิดวิกฤตการณ์ทางอาหาร เรื่องของ Food Security หรือ ความมั่นคงทางอาหารก็จะต้องถูกพูดถึงมากขึ้นอย่างแน่นอน จึงทำให้ขณะนี้ทุกประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมากไม่เฉพาะแต่ประเทศในอาเซียนเท่านั้น แต่นั่นหมายรวมไปถึงทุกประเทศทั่วโลก
“ปัจจุบัน แอปเตอร์ได้จัดทำรายงานเป็นรายสัปดาห์ (Weekly Update) และรายไตรมาส (Quarterly Report) เพื่อนำเสนอข้อมูลด้านความมั่นคงทางอาหารที่ครอบคลุมแก่ประเทศสมาชิก โดยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารจากแหล่งข่าวต่างๆ ของประเทศสมาชิกและหน่วยงานที่มีความร่วมมือกัน เนื่องจากแอปเตอร์เล็งเห็นถึงโอกาสในการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานเลขานุการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Food Security Information System: AFSIS) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน และหน่วยงานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศเพื่อรวบรวมข้อมูลที่หลากหลายมาพัฒนาระบบการประเมินผลการดำเนินการและปรับระดับการเตือนภัยเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” ผู้จัดการทั่วไป สำนักเลขานุการ APTERR กล่าว
อย่างไรก็ดี ด้วยบทบาทของแอปเตอร์ที่มีส่วนในการส่งเสริมและสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของประชาชนในประเทศสมาชิก ทำให้ขณะนี้มีหลายหน่วยงานเริ่มเห็นความสำคัญและพูดถึงการทำงานของแอปเตอร์เป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น รวมถึงเสนอให้มีการดำเนินงานในพืชเศรษฐกิจสำคัญชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย เพราะเห็นว่าปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจส่งผลต่อมวลมนุษยชาติในอนาคตนั่นเอง
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่าน องค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินระดับภูมิภาคอาเซียนบวกสาม(APTERR) ได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ยังตึกนวัตกรรม ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2579-4816, 0-2579-4817 หรือ www.APTERR.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี