วันนี้ขอเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ของตัวเองสักวันเถอะ เพราะเห็นว่า เด็กยุคนี้ ไม่ค่อยได้เข้าถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมายเท่าไรนัก และดูเหมือนจะมองไม่เห็นด้วยว่า ประวัติศาสตร์มีความสำคัญกับปัจจุบันอย่างไร
ว่ากันตามจริง ถ้า มองให้ลึกๆ ลงไปการเปลี่ยนประวัติศาสตร์คือการเปลี่ยนปัจจุบันกันเลยทีเดียวนะจะบอกให้
ตังยกตัวอย่าง “ตัวเอง” เมื่อยัง นุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำตาล เรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 6ซึ่งเป็นระดับสุดท้ายของการเรียนในชั้นมัธยมต้นใครที่จบออกมา แล้วจะไปเรียนต่ออะไรก็เลือกเรียนกันเอาตามใจ นอกจากบางสาขาวิชา เขายังไม่ยังรับ ม.6 ก็ต้องไปเรียนให้จบชั้น ม.8 เสียก่อนจึงจะเข้าเรียนได้
โรงเรียนที่ผมเรียนจบ ชั้น ม.6 เป็น โรงเรียนวัด ตั้งอยู่ในสวนลึก ย่านคลองบางพรมผมต้องเดินไปโรงเรียน ผ่านสวนผลไม้ วันละไม่น้อยกว่า สิบกิโลเมตร เป็นทางดิน ถ้าวันไหน หน้าฝน คุณเอ๋ย ไม่ต้องคิดอะไรมาก มองแต่ที่ “จุดยืน คือ ตีน” เพียงอย่างเดียว จิกเล็บให้แน่นมิฉะนั้นมันจะลื่นไถลล้มกลิ้ง ดีไม่ดี ตกลงไปในท้องร่องได้ง่ายๆ เพราะสองข้างทาง เป็นร่องน้ำของสวนแต่ละแห่งไม่ใช่ทางเดินสาธารณะ ที่เขาทำอย่างมาตรฐาน วันไหน คุณครูที่มีบ้านพักอยู่ในกรุงเทพฯเดินมาด้วยกัน เราก็จะคอยลุ้นคุณครูไม่ให้ล้ม เพราะท่าน ไม่ค่อยถนัดในการเดินบนทางดินที่ลื่นและเปียกยามฝนตก ไหนท่านจะต้องหิ้วกระเป๋า ไหนจะต้องหิ้วรองเท้า และบางท่านอาจจะมีตำราหอบมาด้วย เห็นแล้วสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรท่านได้ไม่มาก นอกจาก ช่วยยกของบางส่วนให้บ้างเท่านั้น พอผ่านเข้าเขตวัดทีก็สบายใจที เพราะในเขตวัดจะมีกระเบื้องปูเป็นทางให้เดิน
ตัวโรงเรียนอยู่ในสวนลึกห่างไกลความเจริญส่วนบ้านผม อยู่ค่อนมาใกล้กับกรุงเทพฯจึงเป็นการเดินทางแบบ จากความเจริญสู่ถิ่นกันดาร ยิ่งลึกยิ่งกันดาร...แล้วทำไม? ไม่เรียนในกรุงเทพฯที่ใกล้บ้าน คำตอบ เราเป็น “ลูกรักของคุณพ่อ” เมื่อคุณพ่อย้ายตามเพื่อนมาเป็นครูสองคนแรก ในโรงเรียนที่เปิดใหม่ เราเลยติดตามพ่อมาด้วย
สำหรับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน เรื่อง ครูครบชั้นลืมไปได้เลย เรื่องบรรยากาศของโรงเรียน ยกนิ้วให้ว่า “สุดยอด” รอบๆ บริเวณเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด อากาศสดชื่น ผู้คนหน้าตาเป็นมิตร รักเด็ก และใจดี อยากกินผลไม้อะไร เก็บกินได้ตามสบาย ไม่มีเจ้าของคนไหนหวงห้าม เรียกกว่าสุขกายแต่ไม่สบายตัว
ทีนี้เรามาดูประวัติศาสตร์ทางด้านการเรียนกันบ้าง ในตอนที่กำลังจะจบชั้น ม.6 สิ่งที่ผมอยากเข้าเรียนต่อมากที่สุดคือ ขอเข้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนกรมป่าไม้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่า เขารับเด็กชั้น ม.6 หรือ ม.8 ตัวโรงเรียนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ตอนนั้น รู้แค่สนามหลวง เยาวราช สนามม้า เขาดินวนา ลานพระบรมรูป รอบๆ บริเวณชั้นในของพระบรมมหาราชวังเป็นส่วนใหญ่
จะถามใครไม่มีใครรู้ มีคนที่จะถามได้คือ คุณพ่อ แต่เรากลับไม่ถาม หวังว่าจะมีครูท่านใดบอกให้ตอนเรียนในชั้นเรียน แต่ก็ไม่มีครูคนใดบอก แบบว่าตอนนั้นดูเหมือนว่า “ครูแนะแนว”จะไม่มีความสำคัญในโรงเรียนนี้เลย สุดท้ายเป็นอันว่า ไม่สามารถจะเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่เราชอบได้ เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่า บางเขนอยู่ตรงส่วนไหนของกรุงเทพฯ
นี่คืออดีต ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของตัวเองไปแล้ว และวันนี้ได้มาเห็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เขาเปิดงานแนะแนวการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2564 รู้สึกเป็นสุขมากกับโอกาสของเด็กยุคใหม่ ที่มีผู้ใหญ่คอยเป็นพี่เลี้ยงคอยชี้แนะ และแนะนำสิ่งที่ดีๆ ให้กับเด็กๆ ที่ยังเห็นโลกไม่มากนัก
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดโครงการแนะแนวการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2564 สำหรับผู้บริหารสถาบันการศึกษา ครูแนะแนว และนักเรียนในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียง
กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการ ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา คณะ/วิทยาลัย/สาขาที่เปิดสอนวิธีการรับเข้าศึกษา การสมัครเกณฑ์การคัดเลือก ในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ประจำปีการศึกษา 2564 และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจที่จะเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม อีกทั้งเพื่อให้ได้ผู้เรียนที่มีความรู้ความสามารถและความถนัดตรงตามสาขาวิชาที่เรียนมากที่สุด โดยจัดแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกสำหรับผู้บริหารสถาบันการศึกษาครูแนะแนว กลุ่มที่ 2 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมี ครู และนักเรียนมากกว่า 1,000 คน ที่สนใจเดินทางเข้ามาฟังการแนะแนวในวันนี้
ก็ได้แต่หวังว่า จำนวนเยาวชนกว่า 1,000 คน ที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้ คงจะไม่มีวันลึมว่า วันนี้คือโอกาสของก้าวแรก ที่เรากำลังจะเดินต่อไป หากเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นเลยไปจนกลายเป็นอดีต มันก็จะเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิต รอยเท้าอันเป็นก้าวแรก ที่เราเริ่มย่างก้าว มันก็ยังคงประทับอยู่ ณ ที่เดิม ฉะนั้น แม้วันวานจะผ่านมาสักกี่ร้อยกี่พันปี รอยเท้าแรกก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราก้าวเดินออกไปข้างหน้าได้อย่างสง่างาม เพราะฉะนั้นจงจดจำประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นมาแล้วให้เป็นนิรันดร์อย่าเอาปัจจุบัน ที่เห็นว่ายังไม่ค่อยดีงามนัก เข้ามาเกี่ยวข้องกับความงามในประวัติศาสตร์ เพียงเพื่อจะลบรอยเท้าแรกให้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะหากไม่มีก้าวแรกที่เราย่างเดิน ย่อมไม่มีก้าวที่สองที่สามที่จะตามต่อมาจนถึงวันนี้
โดย ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี