“ผบช.สตม.” นำแถลง “ตม.จว.ตาก” ใช้ Biometrics รวบ “ไอ้หนุ่มซินตึ้ง” คาสนามบิน สุดท้ายยอมรับหลบหนีเข้าเมือง ใช้พาสปอร์ตเพื่อนเดินทาง อีกรายสาวเวียดนามหลบหนีเข้าเมืองเตรียมเดินทางไปเที่ยวบินเดียวกัน
4 พฤศจิกายน 2563 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 รรท.ผกก.ตม.จว.ตาก , พ.ต.อ.ศุภโชค หยงสตาร์ รอง ผบก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1 และรองโฆษก สตม. ร่วมแถลงผลการจับกุมคนร้ายชาวต่างชาติ
สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ในประเทศเมียนมา เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้ออกตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดน และสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว และสามารถจับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งหลบหนีมาจากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เป็นคนสัญชาติจีน จำนวน 1 คน และสัญชาติเวียดนาม จำนวน 1 คน
รายแรก เจ้าหน้าที่งานสืบสวน ตม.จว.ตาก พบชายผู้ต้องสงสัยบริเวณภายในอาคารผู้โดยสารขาออก ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนเพื่อทำการตรวจสอบ ผู้ถูกจับได้แสดงเอกสารหนังสือเดินทางใช้ชื่อว่า MR.YU ถือหนังสือเดินทางประเทศจีน ต่อเจ้าหน้าที่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นน่าเชื่อว่าไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน จึงได้เชิญตัวไปตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลโดยใช้เครื่องตรวจระบบ Biometrics พบว่ามีเปอร์เซ็นต์ความเหมือนกันต่ำ
ผู้ถูกจับดังกล่าวมีใบหน้า หู ตา จมูก และปาก แตกต่างจากภาพที่เก็บไว้ในระบบ จึงได้ซักถามผู้ถูกจับและให้การยอมรับว่าตนไม่ใช่บุคคลคนเดียวกับบุคคลตามหนังสือเดินทาง ซึ่งหนังสือเดินทางเป็นของเพื่อนที่ตนนำมาใช้จองตั๋วและใช้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่สายการบิน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบและทราบภายหลังว่าผู้ถูกจับคือ MR.KUN อายุ 34 ปี สัญชาติจีน
ตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่า ผู้ถูกจับได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ผู้ถูกจับให้การยอมรับว่าตนได้ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรทางช่องทางธรรมชาติ เจ้าหน้าที่งานสืบสวน ตม.จว.ตาก จึงได้จับกุมตัว MR.KUN โดยกล่าวหาว่า “ใช้หนังสือเดินทางของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” และ “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
รายที่ 2 เจ้าหน้าที่งานสืบสวน ตม.จว.ตาก ได้ตรวจสอบบริเวณภายในอาคารผู้โดยสารขาออก ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอดเพิ่มเติม พบผู้ถูกจับ ทราบชื่อภายหลังว่า MRS.NGUYEN OANH อายุ 24 ปี สัญชาติเวียดนาม ถือหนังสือเดินทางประเทศเวียดนาม ขณะรอตรวจสัมภาระอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารขาออก สังเกตท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเพื่อทำการตรวจสอบ จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางพบว่า ผู้ถูกจับได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ผู้ถูกจับให้การยอมรับว่าตนได้ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรทางช่องทางธรรมชาติ เจ้าหน้าที่งานสืบสวน ตม.จว.ตาก จึงได้จับกุมตัว MRS.NGUYEN OANH โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงทำการจับกุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ถูกจับผ่านล่ามภาษาจีน ทราบแล้วข้างต้น จากนั้นจึงนำตัวกลุ่มผู้ถูกจับ จำนวน 2 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่สอด จ.ตาก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรม ข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี