‘อสส.’เปิดใจรับ‘คดีบอส’เป็นบทเรียน ยันอัยการมีอิสระ ไม่มีใครสั่งได้
5 พฤศจิกายน 2563 ที่อิมแพ็คฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี ในการจัดงาน “มิติใหม่อัยการแผ่นดิน” นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีองค์กรอัยการเผชิญวิกฤติศรัทธาจากประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เช่น คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ว่า ในกระแสที่พี่น้องประชาชนคิดอะไรต่างๆ สำนักงานอัยการสูงสุดเราได้แถลงให้ทราบในหลายเรื่อง ใช้ข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนการสอบสวน ใช้กฎหมาย กฎระเบียบ สิ่งต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดแก้ไขปัญหาได้ดีระดับหนึ่ง
“จะเป็นบทเรียนของสำนักงานอัยการสูงสุดส่วนหนึ่ง เราอาจจะต้องปรับปรุงกฎระเบียบที่รองรับ เอื้อต่อการอำนวยความยุติธรรมมากขึ้น เราจะเห็นได้ว่าสุดท้ายเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ เป็นการใช้ดุลยพินิจสั่งสำนวนของอัยการท่านหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นเรื่องปกติของสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการยุติธรรมไทยทั่วไป” นายวงศ์สกุล กล่าว
นายวงศ์สกุล กล่าวอีกว่า การร้องขอความเป็นธรรมเรามีมาหลายสิบปี ตั้งแต่มีระเบียบอัยการในปี 2528 ในสมัยนั้นต้องให้รองอธิบดีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ จนกระทั่งปี 2537 ดร.คณิต ณ นคร เข้ารับตำแหน่งอัยการสูงสุด เปลี่ยนระเบียบการร้องขอความเป็นธรรมให้เสนออัยการสูงสุดเป็นผู้สั่ง ใช้อำนาจระเบียบนี้อยู่พักใหญ่ กระทั่งเกิดคดี สปก.4-01 ที่ จ.ภูเก็ต ดร.คณิต ท่านสั่งไม่ฟ้อง เห็นว่าเป็นเรื่องนโยบายของรัฐ อย่างไรก็ดี การใช้อำนาจสั่งของอัยการสูงสุดจะไปตัดอำนาจของผู้กลั่นกรองตาม ป.วิอาญา มาตรา 145 ซึ่งไม่ต้องส่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ความเห็นชอบ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ในที่สุด ดร.คณิต ก็ออกคำสั่งยกเลิกการใช้ระเบียบของท่านเอง
นายวงศ์สกุล กล่าวอีกว่า จนกระทั่งสมัยนายสุชาติ ไตรประสิทธิ์ เป็นอัยการสูงสุด มีการปรับเปลี่ยนระเบียบร้องขอความเป็นธรรมกลับมาใหม่ โดยให้รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณา ถ้ารองอัยการสูงสุดมีความเห็นการสั่งคดีไปอย่างไร ก็ใช้มาตรา 145 ส่งให้ ผบ.ตร. หรือผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผู้ว่าฯ หรือ ผบ.ตร. เห็นแย้ง อัยการสูงสุดจึงจะใช้อำนาจหน้าที่ไปชี้ขาดความเห็นอีกครั้งตามมาตรา 145 การร้องขอความเป็นธรรมเป็นประโยชน์ต่อประชาชน บางครั้งผู้รวบรวมพยานหลักฐานอาจรวบรวมไม่ครบถ้วน ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย ประชาชนอาจมาร้องอัยการว่ามีพยานหลักฐานที่ต้องรวบรวมต้องใช้อีกมาก
อัยการสูงสุด กล่าวต่อว่า หลักการร้องขอความเป็นธรรมของสำนักงานอัยการสูงสุดนับตั้งแต่สมัย ดร.คณิต เป็นต้นมา ไม่มีอัยการสูงสุดท่านใดเลยไปใช้อำนาจในเรื่องคดีร้องขอความเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อจะให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลตามมาตรา 145 ตนคิดว่าเรื่องนี้ถ้าเกิดประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน คิดว่าประชาชนจะเข้าใจว่าระบบการทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดเอื้ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างไร
“การร้องขอความเป็นธรรมมีขั้นตอนอยู่ ถ้ามีพยานหลักฐานเกี่ยวข้อง บางคดีเหตุเกิดเป็นสิบปีพยานหลักฐานเพิ่งปรากฏก็มี บริบทแต่ละเรื่องมีความแตกต่างกันไป ร้องได้ตลอดเวลา อยู่ในเงื่อนไขพยานหลักฐานฟังได้หรือไม่ก็แล้วแต่ละเรื่องไป” นายวงศ์สกุล กล่าว
เมื่อถามถึงการทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดหลังปรับโครงสร้าง คดีที่ยังมีข้อคลางแคลงใจต้องเรียกมาดูหรือไม่ นายวงศ์สกุล กล่าวว่า การทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดในปีๆหนึ่ง อัยการสูงสุดต้องดูแลเฉพาะสำนวนที่อัยการสูงสุดต้องสั่งเอง ในคดีความผิดนอกราชอาณาจักร , พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และชี้ขาดความขัดแย้ง ทั้ง 3 ประเภทนี้ อัยการสูงสุดต้องสั่งถึง 6-7 พันเรื่องในปีหนึ่ง ส่วนการร้องขอความเป็นธรรม อัยการสูงสุดสามารถมอบหมายให้รองอัยการสูงสุดหรือผู้ตรวจราชการที่รับผิดชอบเข้าไปช่วยดำเนินการดูแล ผู้ได้รับมอบหมายจะมีอำนาจสิทธิขาดดำเนินไปในส่วนนั้นๆ ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายอัยการ
“พนักงานอัยการทุกคนมีอิสระในการพิจารณาสำนวนคดีเป็นของตนเอง ไม่มีใครสามารถสั่งได้ คล้ายกับผู้พิพากษาของศาลยุติธรรม อัยการสูงสุดจะไปชี้นำสั่งอย่างไรไม่ได้เลย เป็นหลักประกันพนักงานอัยการทำงานภายใต้ดุลยพินิจ อัยการสูงสุดจะเข้าไปควบคุมได้ต่อเมื่อมีเหตุ เช่น พนักงานอัยการสั่งสำนวนช้าจนผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายร้องเข้ามา เราก็จะเข้าไปดูปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนหรือเปล่า แต่ดุลยพินิจในการสั่งคดียังเป็นของเขาเหมือนเดิม” อัยการสูงสุด กล่าว
เมื่อถามถึงแนวทางการรับมือของอัยการต่อคดีการเมืองในยุคนี้ที่จะมีมากขึ้น นายวงศ์สกุล กล่าวว่า หลักการทำงานของอัยการสูงสุดเราใช้พยานหลักฐานเป็นหลัก พิจารณาตามพยานหลักฐาน ภายใต้กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี