ช่วงเวลาปลายปีเป็นช่วงเวลาของการเข้าสู่ฤดูหนาว ลมหนาวเริ่มพัดโชยมา เข้าสู่ฤดูของการเก็บเกี่ยว ข้าวเริ่มสุกแก่พอที่จะเก็บเกี่ยวกันได้แล้ว ในอดีตนับว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องเกษตรกรมีความสุขกันทั่วหน้า มีการลงแขกกันเกี่ยวข้าว ขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง ก่อนที่จะทยอยขายข้าวเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในครองครัว การลงแขกเป็นวิถีของสังคมเกษตรในยุคก่อน เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมมือกัน ทำให้เกิดความผูกพันกันในสังคมนั้น ข้อมูลการปลูกการเก็บเกี่ยวของเกษตรกรในแต่รายของชุมชนนั้นเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งชุมชน เหตุจากการมีส่วนร่วมในการดำเนินการร่วมกันผ่านกิจกรรมลงแขก หรือบางที่ก็เรียกว่าเอาแรงกัน ไม่ต้องไปลงทุนทำข้อมูลกันให้ยุ่งยาก ใครทำอะไร อย่างไร รู้กันไปทั่ว
ณ ปัจจุบัน หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Big Data เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญสำหรับการทำการเกษตร ซึ่งการได้มาซึ่ง Big Data เป็นเรื่องที่ต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินไม่น้อย ทั้งการแก้ไขกฎหมาย hardware software ต่างๆ ในยุคก่อนนั้น ในชุมชนต่างรู้จักการเตรียมการและการจัดการของคนในชุมชนเป็นอย่างดี ทุกครัวเรือนทราบดีว่าจะจัดสรรข้าวที่ได้มาอย่างไร วางแผนการปลูกในฤดูต่อไปอย่างไร ก่อนการปลูกข้าวและหลังการปลูกข้าวจะจัดการแปลงนาของตนเองอย่างไร ทราบข้อจำกัดเรื่องดินเรื่องน้ำของตนเอง นาในที่ลุ่ม นาในที่ดอน มองฟ้า ดูทิศทางลม ดูแสงแดดก็สามารถตัดสินใจกันได้ ข้อมูลเหล่านี้ถูกบรรจุอยู่ในวิถีของชุมชน ถ่ายทอดและส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อการเกษตรถูกเปลี่ยนจากการทำการเกษตรเพื่อการดำรงชีพ สู่การทำการเกษตรเพื่อสะสมความมั่งคั่ง เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จุดเปลี่ยนดังกล่าวส่งผลให้วิธีการทำการเกษตร ความสัมพันธ์ในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปทุกคนต่างคิดถึงต้นทุนและผลกำไรในทางเศรษฐกิจทั้งหมด ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกันค่อนๆ เลือนหายไป ความเห็นแก่ตัวเริ่มเข้ามาแทนที่ ทำอย่างไรจะได้ผลผลิตสูงๆ จากผืนดินที่มี เกิดการว่าจ้างแรงงาน คิดค่าตอบแทนในการจ้างแรงงานทุกขั้นตอนส่งผลให้เกิดความเหินห่าง ทำลายวัฒนธรรมและวิถีทำการเกษตรของชุมชน กลายเป็นสังคมการเกษตรที่ต่างคนต่างอยู่และไม่รู้จักกันอีกต่อไป
จากการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรที่กล่าวมา การทำการเกษตรที่เป็นการลงทุน การใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด จนผลักดันให้เกิดนโยบายการตลาดและการดูแลการเกษตรที่ปลายทาง เน้นผลตอบแทนที่สูงเพื่อให้คุ้มกับการลงทุน แต่ไม่ได้พิจารณาต้นทุนที่ดันให้สูงขึ้น มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด เช่น พันธุ์ข้าวเดิมชาวนาจะมีการคัดเลือกและกันข้าวในแปลงนาของตนเองไว้เผื่อทำพันธุ์ในฤดูถัดไปแต่ในปัจจุบันกลายเป็นว่าชาวนาต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกใหม่กันทุกครั้ง ไม่สามารถพึงตนเองได้ กลายเป็นเกิดธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวขึ้นมาแทน เช่นเดียวกับพืชอีกหลายชนิด ทั้งพืชไร่ พืชผัก และไม้ผล ที่ต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์ และพันธุ์พืชจากบริษัทข้ามชาติ เกิดการผูกขาด การจำกัดการเข้าถึงพันธุ์พืชของชุมชนและเกษตรกร ในเวลาเดียวกันภาครัฐโดยนโยบายที่ต้องการให้เอกชนทำธุรกิจได้ รัฐจะไม่ทำแข่ง จึงนำมาสู่การผูกขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ การครอบงำการเกษตรโดยใช้พันธุ์พืชเป็นตัวกำหนดปัจจัยอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย และสารเคมีทางการเกษตรอื่นๆ หมายความว่า พันธุ์พืชชนิดนี้ถูกปรับปรุงพันธุ์มาเพื่อให้ผลผลิตสูงสุด เกษตรกรจะต้องมีการใช้ปุ๋ยและสารเคมีทางการเกษตรอื่นๆ ตามคำแนะนำที่ให้ไว้เท่านั้น จึงจะได้ผลผลิตตามที่หวัง หากยังปล่อยให้การเกษตรของไทยเป็นไปในทิศทางนี้ โดยไม่ได้มองความยั่งยืนในการพัฒนาบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองได้ นั่นคือ ความล้มเหลวด้านการเกษตร และจะเป็นความล้มเหลวด้านความมั่นคงทางอาหารตามมา ท้ายสุดแล้วจะส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและประเทศชาติต่อไป
การเปิดตลาดทางการค้าผ่านการเจรจาทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อการเกษตรไม่ว่าจะในแง่มุมใด หากเกิดขึ้นโดยขาดการเตรียมความพร้อมของตัวเราเองแล้ว ในที่สุดแทนที่จะเกิดผลดี กลับจะเป็นการซ้ำเติมความสูญสลายของภาคการเกษตร แหล่งอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่บนความพอเพียง พึ่งพาตนเองได้ และมีความยั่งยืน กว่าจะไปยังจุดของการเจรจาดังกล่าว คงต้องทบทวนกันก่อนว่าวันนี้เราอยู่หรืออยากอยู่ ณ จุดใด
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี