“ผบช.สตม.” นำทีมแถลง “ตม.นครพนม-หนองคาย-สืบตม.4” ตรวจเข้มชายแดนแนวฝั่งโขง จับต่อเนื่องต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง หลบโควิด-19 ในไทย
24 พฤศจิกายน 2563 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4 , พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ , พ.ต.อ.ชัยยศ วรักษ์จุนเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 , พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 , พ.ต.อ.สมเกียรติ สนใจ ผกก.ตม.จว.นครพนม และ พ.ต.อ.ธนรัฐ รุ่งโรจน์ดี ผกก.ตม.จว.หนองคาย ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง
สืบเนื่องจาก ตม.จว.นครพนม ร่วมกับชุดปราบปรามยาเสพติด ร้อย ตชด.236 , จนท.ส.รน.1 กก.10 บก.รน และ จนท.ส.ทท.4 กก.1 บก.ทท.2 และหน่วยร่วมปฏิบัติในพื้นที่ สืบสวนหาข่าวร่วมกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ทราบว่าในช่วงเวลาเช้ามืด จะมีแก๊งลักลอบขนแรงงานชาวลาวมาส่งที่ฝั่งไทย บริเวณจุดริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม จึงวางกำลังดักรออยู่ที่จุดดังกล่าว ต่อมาเมื่อเวลา 05.20 น. มีรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าสีเขียว ทะเบียนนครพนม ซึ่งมี นายส่วน อายุ 45 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ขับขี่มาจอดที่บริเวณดังกล่าว คาดว่าจะเป็นจุดนัดพบขึ้นฝั่ง
ขณะเดียวกันได้สังเกตเห็นเรือหางยาวลำหนึ่ง แล่นจากฝั่ง สปป.ลาว มุ่งหน้ายังท่าน้ำโขง บ้านขามเฒ่า และมาจอดเทียบเรือขึ้นท่าบริเวณฝั่งไทยตรงกับจุดที่รถกระบะคันดังกล่าวที่จอดรอรับอยู่ พบว่า มีผู้โดยสารจำนวน 4 คน กำลังขนสัมภาระลงจากเรือขึ้นฝั่ง และเดินไปขึ้นรถยนต์กระบะที่จอดรอรับอยู่ จากนั้นเรือหางยาวลำดังกล่าวได้รีบแล่นออกจากท่าเทียบกลับไปยังฝั่ง สปป.ลาว
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมซึ่งดักซุ่มอยู่จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบว่าผู้โดยสารทั้งหมดเป็นบุคคลสัญชาติลาว โดยมีนายกอง อายุ 20 ปี สัญชาติลาว กับพวกอีก 3 คน จากการตรวจสอบทั้งหมดไม่พบหนังสือเดินทางและไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานการเข้าเมืองมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสอบสวนขยายผล ทราบว่าทั้งหมดเป็นแรงงานชาวลาวต้องการจะเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย จึงได้ว่าจ้างเรือโดยสารจากฝั่ง สปป.ลาว ให้พาข้ามมาส่งที่ฝั่งไทย โดยมีนายส่วน ซึ่งได้รับค่าว่าจ้างจากพวกตนคนละ 500 บาท นำรถยนต์กระบะมารอรับขึ้นฝั่งน้ำโขง จาก อ.เมือง จ.นครพนม ไปส่งต่อขึ้นรถตู้ที่ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อพาเข้าไปทำงานในกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ขณะนั้นได้มีโทรศัพท์ติดต่อมายังแรงงานชาวลาวเพื่อแจ้งให้เดินทางต่อไปยังจุดนัดพบจุดต่อไป เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สะกดรอยติดตามไป พบว่า นายส่วนได้นำแรงงานทั้งหมดไปส่งยังจุดนัดพบที่ทั้งหมดตกลงกันไว้ บริเวณภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ใน อ.ท่าอุเทน โดยมีรถตู้โดยสารยี่ห้อ โตโยต้า สีขาวหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร จอดรอรับอยู่ และมีนายชาญวิทย์ อายุ 62 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ขับขี่และลงมาเปิดประตู พาแรงงานทั้งหมดขึ้นรถ
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมซึ่งดักซุ่มดูพฤติการณ์อยู่และได้บันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้ จึงเข้าแสดงตัวจับกุมตัวดำเนินคดีกับนายส่วนและนายชาญวิทย์ ในข้อหา “นำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือช่วยด้วยประการใด ๆ, ร่วมกันซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม”และดำเนินคดีกับนายกอง กับพวกรวม 4 ราย ในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมด้วยของกลางรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้าสีเขียว ทะเบียนนครพนม และ รถยนต์ตู้ ยี่ห้อโตโยต้าสีขาว ทะเบียนกรุงเทพมหานคร รวม 2 คัน ดำเนินการตามกระบวนการคัดกรองการแพร่ระบาดโรค โควิด-19 และนำตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านกลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมาได้มีการสืบสวนขยายผลอีก จนสืบทราบว่าจะมีการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองอีกครั้ง ที่ชายฝั่งแม่น้ำโขงทางด้าน จ.หนองคาย จึงได้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันและจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย-ลาว อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งตามวันเวลาเกิดเหตุ ทราบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพรับจ้างลักลอบลำเลียงคนผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยจะมีการส่งคนขึ้นฝั่งบริเวณถนนสาธารณะริมฝั่งแม่น้ำโขง ต.กวนวัน อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย
ชุดจับกุมจึงนำรถตรวจการณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะออกตรวจการณ์บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ตามวันเวลาดังกล่าว ขณะออกตรวจการณ์ไปถึงบริเวณเป้าหมายที่เป็นจุดเสี่ยงได้พบกลุ่มบุคคลลักษณะคล้ายบุคคลต่างด้าวจำนวน 10 คน พร้อมสัมภาระจำนวนหนึ่ง มีท่าทางเร่งรีบขึ้นจากฝั่งและมีพิรุธ จึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและขอทำการตรวจสอบเอกสารพบว่าทั้งหมดเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ไม่มีหนังสือเดินทางและไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานการเข้าเมืองและเอกสารประจำตัวอื่น ๆ มาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ได้
จากการให้การทราบว่ากลุ่มชาวจีนดังกล่าวได้เริ่มเดินทางมาจากประเทศจีน ผ่าน สปป.ลาว โดยตั้งใจที่จะเข้าลักลอบเดินทางเข้าไปหลบอาศัยอยู่ในจังหวัดชั้นในของประเทศไทย สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังมีความรุนแรง จึงพยายามลักลอบหนีข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้ามาแฝงตัวหลบอยู่ในประเทศไทยซึ่งคิดว่าปลอดภัย โดยได้ว่าจ้างเรือจีบให้พากลุ่มของตนข้ามฝั่งแม่น้ำโขงจากชายแดนฝั่ง สปป.ลาว มายังฝั่งไทย จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบก่อนที่จะพยายามเดินทางต่อไปยังจังหวัดชั้นใน
ชุดจับกุมจึงทำการจับกุมตัวทั้งหมด ดำเนินคดีในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”พร้อมแจ้งสิทธิ์ให้ผู้ถูกจับทราบผ่านล่ามภาษาจีน และควบคุมตัวดำเนินการตามกระบวนการคัดกรองการแพร่ระบาดโรค โควิด-19 นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เวียงคุก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ในส่วนของการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 และชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคายจะได้เร่งทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มขบวนการนำพาเข้าประเทศ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องที่ร่วมกระทำผิดทั้งหมดต่อไป
สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี