หลังจากที่ ปล่อยให้เกษตรกรชาวสวนยางดีใจ กับราคายางที่พุ่งสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 82 บาท นั่นหมายถึงยางแผ่นรมควันชั้น 1 ตามราคาประกาศโดยตลาดกลาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ชาวสวนยางก็ถูกกลุ่มพ่อค้าคนกลาง ใช้ กลไกของการตลาด ทุบราคายางพาราให้ดิ่งลงมาอยู่ในสภาพเดิมที่เคยเป็นมากว่า3 ปี คือ 3 กิโลร้อย
ปรากฏการณ์การปั่นราคาของตลาดหุ้นเพื่อเก็งกำไรจากการเทขายยางในสต๊อกที่ปั่นโดยกลุ่มโตคอมของญี่ปุ่น ไซคอม ของสิงคโปร์ และ เซียงไฮ้ ของประเทศจีนเป็นการสร้างกำไร หรือ ความร่ำรวยให้กับผู้เล่นหุ้นในตลาดหุ้นเพียงหยิบมือเดียว หรือแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของการซื้อ-ขายยางพารา
แต่ได้สร้างความขาดทุนให้กับ พ่อค้า โรงงานที่เทขายยางในสต๊อกไม่ทันกับราคาที่สวิงขึ้นอย่างรวดเร็ว และตกลงในเวลาไม่กี่วัน แต่ต้องซื้อยางในราคาที่แพงขึ้นจากการปั่นราคาของพ่อค้าในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ พ่อค้าที่มีสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้า กับต่างประเทศที่ขายไปในราคาที่เป็นจริง เช่นขายในราคา กก.ละ 70 บาท แต่ต้องซื้อยางพาราในราคา กก.ละ 80 บาทตามราคาที่สวิงขึ้น แม้จะในช่วงสั้นๆ แต่ก็ถือว่าเป็นของซื้อของแพง เพื่อไปขายถูก เช่นสัญญาขายให้กับคู่ค้าในราคา กก.ละ 70แต่ต้องซื้อจากตลาดกลางในราคา กก.ละ 80 บาท เป็นต้น
สุดท้าย เมื่อพ่อค้าส่งออก ขาดทุนไปเท่าไหร่ ก็ต้องร่วมมือกับโรงงาน และพ่อค้าคนกลางในพื้นที่ ช่วยกันกดราคารับซื้อจากเกษตรกร เจ้าของสวนยาง และลูกจ้างกรีดยาง ให้ต่ำที่สุด เพื่อไปชดเชยกับที่ขาดทุนจากการปั่นราคาของตลาดหุ้น
กรรมทั้งหมดจึงตกอยู่กับ เจ้าของสวนยาง และคนรับจ้างกรีดยาง ที่ต้องแบกรับกับราคาที่ผันผวน และมีหน่วยงานไหนที่จะรับประกันได้ว่า ราคายางจะมีเสถียรภาพที่จะทำให้เกษตรกร และลูกจ้างผู้กรีดยาง อุ่นใจได้ว่าอาชีพนี้ จะเป็นอาชีพ ที่เลี้ยงตัวได้อย่างมั่นคง
จะย้อนกลับไปดู สถานการณ์วันที่ ยางพาราสวิงแรงถึงกก.ละ 80 บาท ทุกคนที่อยู่ในองค์กรของราคายาง ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ และการยางแห่งประเทศไทย ต่างฉวยโอกาสหาเสียง และแสดงความรับชอบ ให้สัมภาษณ์สื่อในแนวทางเดียวกัน
เช่น ให้ความเห็นว่า ราคายางจะขึ้นไปถึง กก.ละ 100 บาท จากปัจจัยดังต่อไปนี้1.“ซัพพลาย” ที่ลดลงของตลาดโลก จากกรณีที่ มีพายุพัดถล่ม ประเทศที่ปลูกยางพาราอย่าง เวียดนาม ไทย และอื่นๆ โรคใบร่วมที่เกิดขึ้นกับ เวียดนาม ไทย และอื่นๆ ที่ทำให้ผลผลิตลดน้อยลง เพราะกรีดยางไม่ได้
และความต้องการของประเทศผู้ผลิตล้อยาง ถุงมือยาง และสินค้าอื่นๆ ที่มีความจำเป็นที่มีออเดอร์เข้ามามากมาย เพราะการชะงักงันจากผลพวงของการระบาดของ “โควิด-19” ที่ระบาดหนัก ทำให้มีการ “ล็อกดาวน์” ประเทศกันถ้วนหน้า
และทุกคน ตั้งแต่รัฐมนตรี ผู้ว่าการยางฯและผู้นำองค์กรชาวสวนยาง เชื่อมั่นว่า ราคายางจะอยู่ที่ กก.ละ 80 บาท หรืออาจจะขึ้นไปถึง 100 บาท จนถึงต้นปี 2564 เพราะปัจจัยหลักที่ภาคใต้ที่เป็นแหล่งปลูกยางมากที่สุด เข้าสู่ช่วงฤดูมรสุม และหลังจากหมดหน้ามรสุม เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ก็จะเข้าสู่ฤดูการผลัดใบของยางพารา หมายถึงการหยุดกรีด ทั้งหมดคือเรื่องของ “ซัพพลาย”ที่หายไปจากตลาด และเป็นเหตุให้ราคาสูงขึ้น เป็นไปตามกลไกของอุปสงค์อุปทาน นั่นเอง
และหลังจากที่ราคายางร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าผู้ให้สัมภาษณ์ แต่ละราย ต่างหลบหน้าเข้า “กลีบเมฆ” และ จำเลยที่ถูกเกษตรกรชาวสวนยางถามหาคือ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เพราะเป็นกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้า ในขณะเดียวกัน ยางพารา มี พ.ร.บ. ให้เป็นสินค้าบริการที่อยู่ในการควบคุม พ.ศ.2542และยังมีพ.ร.บ.ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้อำนาจสูงสุดถึงขั้นปิดโรงงานได้ หากพบว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.สินค้าควบคุม
ซึ่งหลังจากที่ราคายางสวิงขึ้นสูง และถูกพ่อค้าร่วมกันทุบจนกลับมาที่ 3 กิโลร้อยเหมือนเดิม กระทรวงพาณิชย์เอง ก็มีความสงสัยว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้นในครั้งนี้เพราะโรงงานหลายโรงปฏิเสธการรับซื้อน้ำยางสดและยางแผ่น โดยอ้างว่า สต๊อกเต็ม แต่กลับมีคำสั่งให้พ่อค้าคนกลางในท้องถิ่น รับซื้อในราคาที่ถูกมากๆ ซึ่งหากสต๊อกเต็มจริง หลังจากซื้อแล้วจะเก็บที่ไหน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จึงได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อการตรวจสอบโรงงานในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคใต้ ที่มีโรงงานยางแผ่นรมควัน และโรงงานน้ำยางข้นมากที่สุดในประเทศรวมทั้งวิสาหกิจชุมชนที่กระจายอยู่ทั่ว เพื่อตรวจว่า การอ้างสต๊อกเต็มเป็นเรื่องจริงหรือไม่
หลังจากนั้น คณะกรรมการชุดนี้ ก็ได้ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสต๊อกของโรงงานตามคำสั่งของกระทรวงพาณิชย์จริง แต่น่าเสียดาย ที่คณะกรรมการซึ่งเป็นผู้ที่มาจาก “ส่วนกลาง” ไม่เข้าใจเรื่องรายละเอียดของโรงงาน มุ่งตรวจเอกสารเป็นสำคัญ และที่สำคัญ ไม่มีความเข้าใจเรื่องเอกสารเพียงพอดูแต่เอกสารเรื่องสต๊อก แต่ไม่ดูราคา ซื้อ-ขายล่วงหน้า ไม่ได้ดูสัญญา หรือ “คอนเท็กซ์” ระหว่างต่างประเทศ บางโรงก็ให้ความร่วมมือบางโรงก็ปิดบังเอกสาร สุดท้ายจึงได้แต่มาตรวจแบบ “ราชการ” ที่ได้แสดงให้เห็นว่า มีการตั้งกรรมการแล้ว ตรวจสอบแล้วแต่สรุปสั้นๆ ว่า “ไม่พบความผิดปกติ” เหมือนกับทุกๆ ครั้ง ที่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสต๊อกสินค้า
ซึ่งทราบว่า คณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตั้งขึ้น ยังไม่เป็นที่พอใจกับการแก้ปัญหาราคายางที่มี เจ้าของโรงงานและพ่อค้าคนกลาง ทำการ “หมกเม็ด”กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ทำการตั้งคณะกรรมการขึ้นอีกชุดหนึ่งโดยมีปลัดกระทรวงเป็นประธาน ในการตรวจสอบสต๊อกของโรงงานอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการตรวจโรงงาน จำนวนสินค้าอย่างละเอียด และจะมีการตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว เพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งผลจะสรุปว่า “ไม่พบความผิดปกติ” อย่างที่ กรรมการที่ตั้งโดยกระทรวงพาณิชย์ หรือไม่นั้น ต้องติดตามกันอีกครั้ง
ถ้าจะให้ “โปร่งใส” และให้ประชาชนเชื่อถือ คณะกรรมการที่เป็นผู้ตรวจสอบ ควรจะมีผู้ชำนาญการ และเป็นคนในพื้นที่ รวมทั้งต้องให้ “สื่อ” มีส่วนร่วมในการ ทำข่าว ในการลงพื้นที่ของคณะกรรมการ ไม่ใช่ตรวจสอบเอง และหลังการตรวจสอบ ก็ไม่มีข่าวคราวปรากฏให้ประชาชนได้รับรู้ อย่างที่เกิดขึ้น
ที่ทำมาทั้งหมด เป็นการชงเอง กินเอง รับรู้กันเอง โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนรู้เห็น และนี่อาจจะเป็นจุดอ่อนของกระทรวงพาณิชย์ และของรัฐบาลที่ขาดการยึดโยงกับประชาชน จนทำให้ไม่ไว้วางใจ และเห็นว่า ไม่มีฝีมือในการแก้ปัญหายางพาราที่เกิดขึ้น
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี