การเพาะปลูกพืชทุกชนิดนอกเหนือจากต้องมีพื้นที่แล้วก็คือพันธุ์พืช ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธุ์ ต้นกล้า หรือกิ่งตาต่างๆ ซึ่งจัดเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ที่ทุกคนต้องคำนึงถึง เริ่มตั้งแต่จะปลูกพืชชนิดใด พันธุ์อะไรจึงจะให้ผลตอบแทนที่ดี เป็นที่ต้องการของตลาด ปลูกและดูแลรักษาง่าย ให้ผลผลิตสูง คุ้มค่ากับการลงทุน รวมทั้งข้อจำกัดต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากของเกษตรกรในการตัดสินใจเลือกพืชชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังนั้นเมื่อถึงฤดูกาลเพาะปลูกพืช โดยเฉพาะพืชล้มลุกที่เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องปลูกกันใหม่เป็นวัฏจักรไป จะเห็นภาพเกษตรกรเที่ยวแสวงหาแหล่งพันธุ์พืชที่ตนเองประสงค์จะปลูก หากมีข้อมูลว่าแหล่งไหนมีพันธุ์ดี ก็จะพยายามหามาปลูกให้ได้ อย่างกรณีของข้าว หากเกษตรกรทราบว่าหมู่บ้านไหนมีข้าวพันธุ์ดี เมื่อข่าวดังกล่าวกระจายออกไปเกษตรกรที่ทราบข่าวก็จะแห่กันมาซื้อเมล็ดพันธุ์จากแหล่งดังกล่าวมาปลูก ส่วนเมื่อนำมาปลูกในพื้นที่ของตนแล้วจะให้ผลผลิตอย่างไรนั้น ก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าสมกับคำโฆษณาหรือคำร่ำลือหรือไม่อย่างไร
ดังนั้น เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกพืชล้มลุกเหล่านี้ สิ่งที่ต้องดำเนินการลำดับแรก คือ การจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี จากนั้นถึงจะไปเตรียมการประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามมา ทั้งเรื่องของการเตรียมดิน แหล่งน้ำแรงงาน ปัจจัยการผลิตต่างๆ รวมไปถึงเงินทุนที่จะใช้จ่าย ประเด็นแหล่งเมล็ดพันธุ์จากทางราชการยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของเกษตรกรเหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้ว่าทางราชการจะมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพันธุ์พืชเป็นจำนวนมาก แต่เกษตรกรก็ไม่สามารถเข้าถึงผลงานวิจัยเหล่านั้นได้ ปัญหานี้น่าขบคิดกันให้มาก มองดูเหมือนว่างานวิจัยที่พัฒนาโดยหน่วยงานภาครัฐกับเกษตรกรที่ต้องการใช้ผลงานวิจัยเหล่านั้น ไม่มาบรรจบกัน ต่างคนต่างมองตากัน และยื่นมือมาหากันได้แค่จุดเล็กๆ ไม่สามารถสร้างผลกระทบให้เกิดได้อย่างกว้างขวาง
หน่วยงานของภาครัฐที่ทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาการเกษตรที่ผ่านมาในอดีต งานวิจัยและพัฒนา และงานขยายพันธุ์ ถูกวางว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงกับตั้งเป็นสถาบันวิจัยพืชแต่ละชนิดแยกกันไปทั้งข้าวพืชไร่ พืชสวน ยางพารา และหม่อนไหม ขณะเดียวกันนอกจากงานวิจัยแล้วยังมีการจัดตั้งกองขยายพันธุ์พืช เพื่อรับผลงานวิจัยด้านพันธุ์พืชจากหน่วยงานวิจัยดังกล่าว นำไปผลิตและขยายพันธุ์สู่เกษตรกร แม้ว่าจะไม่สามารถสนับสนุนได้เต็มพื้นที่ อย่างน้อยก็มีแหล่งพันธุ์ดีของภาครัฐกระจายสู่พื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง เป็นที่พึ่งของเกษตรกรได้บางส่วน ไม่จำเป็นต้องพึ่งเอกชนแต่ฝ่ายเดียว
เมื่อมีการปรับโครงสร้างหน่วยราชการในราวปี 2542 ในทัศนะของผู้นำองค์กรขณะนั้น ซึ่งอาจยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในกระบวนการวิจัยพัฒนาและขยายพันธุ์พืช ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ขยายพันธุ์พืช ถูกปรับลดบทบาทให้ทำหน้าที่เพียงการขยายพันธุ์ข้าวเท่านั้น จึงเท่ากับปิดโอกาสเกษตรกรในการเข้าถึงพืชพันธุ์ดีอื่นๆ ของทางราชการ ส่งผลให้เกษตรกรหันไปพึ่งพาแหล่งพันธุ์ดีจากภาคเอกชนเป็นหลัก ซึ่งการใช้พันธุ์ของภาคเอกชนที่พัฒนาขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง จำเป็นต้องเพิ่มการลงทุน เพื่อให้ได้ผลผลิตตามต้องการอีกด้วย ขณะที่งานวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชของราชการยังคงดำเนินการต่อไป แต่โอกาสในการถ่ายทอดผลงานวิจัยดังกล่าวลงสู่เกษตรกรโดยตรงถูกปิดไป วงของการขยายผลงานวิจัยจึงจำกัดอยู่ในกลุ่มเกษตรกรผู้นำไม่กี่คน ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียโอกาสและงบประมาณไปอย่างไม่คุ้มค่า เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยดังกล่าว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความผิดพลาดในการตัดสินใจของผู้นำองค์กรที่ขาดความเข้าใจในระบบงานวิจัยพัฒนาและขยายพันธุ์พืชที่กล่าวถึงข้างต้น หรืออาจเข้าใจแต่มีความประสงค์อย่างอื่น ก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน
เมื่อกลับมาพิจารณาการพึ่งพาพันธุ์พืชของเกษตรกรในปัจจุบัน จะเห็นว่าในส่วนของภาครัฐมีน้อยมากที่จะสามารถให้บริการเกษตรกรได้ ทำให้ตกเป็นเบี้ยล่าง และส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่ต้องใช้ปัจจัยการผลิตตามความต้องการของพันธุ์พืชนั้นที่เอกชนพัฒนาขึ้น จึงเหมือนซ้ำเติมเกษตรกร เพราะไม่มีสิ่งใดประกันได้ว่าทุนลงไปกับผลผลิตที่ตอบแทนกลับมาจะคุ้มค่าหรือไม่อย่างไร เกษตรกรบางส่วนมีความพยายามในการพัฒนาพันธุ์พืชของตนเองขึ้นมาจึงเห็นการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชอยู่หลายกลุ่ม ในลักษณะของการคัดเลือกพันธุ์และขยายพันธุ์ ซึ่งภาครัฐควรเข้าไปสนับสนุนและส่งเสริม เพื่อให้กลุ่มเกษตรเหล่านั้นสามารถเป็นเจ้าของพันธุ์อย่างถูกกฎหมาย ทั้งขั้นตอนการรับรองพันธุ์ พิสูจน์พันธุ์ การขึ้นทะเบียนพันธุ์พืช การคุ้มครองพันธุ์พืช การรวบรวมพันธุ์และจำหน่ายพันธุ์พืชตามกฎหมายว่าด้วยพันธุ์พืช สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของภาครัฐที่มีอยู่ ก่อนที่ภาคการเกษตรของไทยในส่วนของพันธุ์พืชจะถูกกินรวบจากเอกชนทั้งหมด และเกษตรกรจะกลายเป็นเพียงเครื่องจักรในการผลิตของภาคเอกชนเท่านั้น
สมชาย ชาญณรงค์กุล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี