เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วย นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และ พ.ท.เทพจิต วีณะคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 ลงพื้นที่ท่าเทียบเรืออ่าวปอ ทดสอบระบบการจัดการท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ใช้เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูล - ระบุตัวตนนักท่องเที่ยวอย่างทันสมัย ยกระดับหนึ่งในมาตรการความปลอดภัยทางน้ำไปอีกขั้น เล็งให้เป็นโมเดลพัฒนาระบบตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลทั่วประเทศ
ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์เรือโดยสารฟินิกส์อับปางกลางทะเลภูเก็ตเมื่อปี 2561 เกิดการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นพิจารณาแก้ปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ ซึ่งจากการลงพื้นที่รวบรวมข้อมูล - ข้อเท็จจริงจากส่วนที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในหลายจังหวัด เพื่อศึกษาถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขเชิงระบบมาอย่างต่อเนื่อง พบว่า 1 ในสาเหตุหลัก คือ ความพร้อมของท่าเทียบเรือที่บางแห่งยังไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ไม่มีระบบการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล และขาดอุปกรณ์ช่วยชีวิตในเหตุฉุกเฉิน โดยก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเร่งดำเนินการ ทั้งผลักดันหน่วยงานในท้องถิ่นที่มีบทบาทและภารกิจในการรักษาความปลอดภัยร่วมกันประสานข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ บุคลากร องค์ความรู้เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการซักซ้อมและจัดเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้เกิดการบูรณาการและความร่วมมือระหว่างภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางน้ำเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เช่น กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ตำรวจน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้นำนวัตกรรมเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลของนักท่องเที่ยว (passport /บัตรประชาชน) และการให้บริการข้อมูลที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวผ่านระบบคิวอาร์โค้ด โดยเร่งนำร่องในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยที่รองรับนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี
พล.อ.วิทวัส กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าและทดสอบระบบการจัดการท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ร่วมกับ นายพิเชษฐ์ ปาณะพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต , พล.ร.ต.สุชาติ เปรมประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายอำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 , เรืออากาศเอก นายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ , นายณชพงศ์ ประนิตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา (รกน.ผอ.สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งขณะนี้ท่าเทียบเรืออ่าวปอได้พัฒนามาใช้ระบบลงทะเบียนผู้โดยสารทางทะเล (Flowlow) โดยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวหรือเจ้าของเรือ ลงทะเบียนผู้โดยสาร ลูกเรือ หรือกัปตัน ผ่านตู้กรอกข้อมูลเพื่อบันทึกบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตก่อนเรือออก มีการใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนในการออกผ่านประตูอัตโนมัติ ณ จุดขึ้นลงเรือ พร้อมระบบวัดอุณหภูมิอัตโนมัติ โดยเชื่อมต่อกับระบบจัดการผู้โดยสารด้วยสายรัดข้อมือ (ริสต์แบนด์) ฝังคิวอาร์โค้ดที่ใช้ในการลงทะเบียนเพื่อติดตามตัว
นอกจากนี้ ยังมีสายรัดข้อมือแบบใช้เฉพาะการกักตัวที่มีระบบยืนยันตัวตน วัดอุณหภูมิ และการเต้นของหัวใจเพื่อตรวจจับการใช้งานของบุคคล เพื่อรองรับเรือสำราญต่างประเทศที่เตรียมจะล่องมาจอดในทะเลไทยอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้แสดงความชื่นชมทุกภาคส่วนที่ได้ขับเคลื่อนอย่างจริงจังจนท่าเทียบเรืออ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต นั้นมีระบบการจัดการที่ทันสมัยและน่าเชื่อถือ อีกทั้งได้เริ่มนำเรือท่องเที่ยวไฟฟ้าทางทะเลมาใช้เป็นลำแรกของประเทศไทยและจะขยายจำนวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคตเร็วๆ นี้ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อถึงเวลาเปิดประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง หากนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้มาเป็นโมเดลต่อยอดการพัฒนาระบบตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลและการเดินเรือในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลได้ทั่วประเทศ จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับการส่งเสริมมาตรการความปลอดภัยทางน้ำสู่มาตรฐานสากลได้อีกขั้นหนึ่ง และยังสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวทางทะเลได้อย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี