เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “ผลกระทบของ COVID-19 ต่ออุตสาหกรรมไทย” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2563 ว่า มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรค รัฐบาลไทยดำเนินการนั้นยังน้อยกว่าอีกหลายประเทศอยู่มาก ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า
โดยมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สามารถแบ่งได้ 4 ด้านคือ 1.ด้านภาษี ไทยทำเพียงการยืดการชำระภาษีออกไป เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หักภาษี ณ ที่จ่าย ในขณะที่สิงคโปร์คืนภาษีให้นิติบุคคล ส่วนจีนยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และแม้กระทั่งยอมให้ผู้ประกอบการนำส่วนที่ขาดทุน ณ เวลานี้ ไปหักลบกับผลกำไรในวันข้างหน้าได้ยาวนานถึง 8 ปี หรือมาเลเซียกับเกาหลีใต้ใช้วิธีการลดภาษี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เริ่มมีมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจมากขึ้น เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ และพยายามกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Approach) ทั้งนี้ แม้หลายประเทศจะมีมาตรการพักชำระหนี้เช่นกัน แต่สิ้นสุดในสิ้นปี 2563 เพราะมีมาตรการอื่นๆ รองรับแล้ว แต่ไทยนั้นยาวนานกว่าโดยพักชำระหนี้ได้ถึงกลางปี 2564
ถึงกระนั้นสิ่งที่ควรทำไปพร้อมกันคือเมื่อยื่นขอเข้าโครงการพักชำระหนี้แล้วต้องเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง เพราะหากมีเพียงการพักชำระหนี้อย่างเดียวย่อมไม่ต่างจากการทับถมหนี้เพิ่มไปเรื่อยๆ ภาครัฐจึงต้องเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ 2.ด้านกระตุ้นการจ้างงาน ไทยยังไม่มีความชัดเจน ในขณะที่สิงคโปร์รัฐบาลร่วมจ่ายกับผู้ประกอบการ (Co-Payment) เพื่อกระตุ้นการจ้างงานตั้งแต่ต้น โดยจะช่วยอุดหนุนค่าจ้างแรงงานตั้งแต่ร้อยละ 25-75 สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยไปมากตามลำดับ
เช่นเดียวกับมาเลเซียก็มีการใช้วิธี Co-Payment แบบเดียวกับสิงคโปร์ ส่วนเวียดนามแม้จะไม่ทำ Co-Payment แต่กำหนดเงินกู้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 หรือปลอดดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการจ้างงานของผู้ประกอบการ ซึ่งญี่ปุ่นก็ใช้กลไกแบบนี้เช่นกัน อนึ่ง สิงคโปร์ยังเข้าไปช่วยฝึกอบรมประชาชนที่ตกงานโดยอิงกับทักษะที่ผู้ประกอบการต้องการ ตามด้วยการตั้งศูนย์จับคู่แรงงานกับสถานประกอบการ พร้อมมีมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการจ้างแรงงานกลับเข้าสู่สถานประกอบการ โดยเฉพาะแรงงานที่ผ่านการฝึกอบรมทักษะใหม่แล้ว
3.ด้านสินเชื่อ แม้ไทยมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แต่ในความเป็นจริงก็ทราบกันดีว่าเข้าถึงได้ยาก โดยช่วงล็อกดาวน์ มีผู้เข้าถึงเพียงร้อยละ 18 ของวงเงินกู้ 5 แสนล้านบาท และเมื่อยุติการล็อกดาวน์จะมีผู้เข้าถึงเพียงร้อยละ 24 นอกจากนี้ยังดึงบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาช่วย ธปท. ค้ำประกัน วงเงิน 5.7 หมื่นล้านบาท ในปีที่ 3-10 หรือคิดเป็นร้อยละ 11
อย่างไรก็ตาม พบว่าวงเงินคำประกันของไทยยังน้อยกว่าบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ค้ำประกันขั้นต่ำร้อยละ 24 ของวงเงินทั้งหมด ส่วนสิงคโปร์ขยายมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปถึงเดือน ก.ย. 2564 และค้ำประกันสูงถึงร้อยละ 90 ของวงเงินทั้งหมด อนึ่ง เกาหลีใต้ยังจัดงบประมาณ 10 ล้านล้านวอน เพื่อซื้อหุ้นกู้หรือตราสารที่ออกจากบริษัทที่ได้รับการประเมินในระดับต่ำ
และ 4.ด้านการดูแลกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ ไทยก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการ ในขณะที่เวียดนาม รัฐบาลให้ความช่วยเหลือพิเศษกับกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์กับสิ่งทอ เพราะถือว่าเป็น เครื่องยนต์ที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต (Engine of Growth) เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงต้องให้ความสำคัญ (Focus) ไปที่ธุรกิจ 2 กลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ เวียดนามยังประกาศตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจสายการบิน เพราะหากมีวัคซีนแล้วแต่สายการบินมีปัญหาการท่องเที่ยวก็ฟื้นไม่ได้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม ระยะหลังๆ รัฐบาลไทยเริ่มออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อธุรกิจท่องเที่ยว เช่น โรงแรม รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้ แต่ก็ยังสิ้นสุดเพียงสิ้นปี 2563 รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือเปิดรับนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม ในขณะที่ต่างประเทศจะเน้นไปที่การลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เช่น กรณีรัฐบาลจีนอนุญาตให้ผู้ประกอบการนำผลกำไรในอนาคตหักลบกับส่วนที่ขาดทุนในปัจจุบันนั้นมุ่งเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเสนอแนะของไทย การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำยังจำเป็นในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) พร้อมกับการเพิ่มวงเงินค้ำประกัน และแก้ไขกฎระเบียบเรื่องหลักประกันให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ส่วนการจ้างงาน ภาครัฐควรดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยให้เกิดการวางระบบจับคู่แรงงานกับสถานประกอบการ และต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจที่กระทบอย่างหนักต่อไป เช่น ภาคการท่องเที่ยวและบริการ
“ที่เขาอยากได้นอกจากการปล่อยสินเชื่อคือการลดภาระให้เขา ลดภาระต้นทุนให้เขาสักนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอาจพิจารณามาตรการด้านภาษีเพิ่ม อย่างจีนที่เขาให้เอาตัวขาดทุนมาหักกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนก็จะต้องดูแลต่อเนื่อง เพราะ Export (ส่งออก) มันเห็นภาพเริ่มปรับตัวดีขึ้น แล้วหลายอุตสาหกรรมค่าเงินมันยังสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมอาหารที่ใช้ Domestic Content (วัตถุดิบในประเทศ)” รศ.ดร.จุฑาทิพย์ กล่าว
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่รัฐบาลต้องการหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บภาษีแพลตฟอร์มออนไลน์ เรื่องนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้กลายเป็นการผลักภาระให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้ช่องทางออนไลน์ทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้แผนการส่งเสริมการใช้ช่องทางออนไลน์ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่วนงบประมาณ 4 แสนล้านบาท ควรเกลี่ยมาทำโครงการที่มีศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว ต้องส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) เพื่ออำนวยความสะดวก (Facilitate) ให้ผู้ประกอบการ
นักวิชาการจี้รัฐ ทำจดหมายถึงนายกฯ เร่งแก้ปัญหา"บิ๊กไบค์" ก่อนออกกฎหมายที่ทำให้คนตายบนถนนเพิ่มขึ้น เมื่อวันที่ 7 มีน
6 มีนาคม 2564 บนทวิตเตอร์ @HRLAthai ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ได้ทวีตข้อความระบุว่า... ด่วน! ต้องการนักวิชาการ/อาจารย์ ใช้ตำแห
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 รศ.วิทยากร เชียงกูล อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Witayakorn Chien
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 นายวีระวัฒน์ ภัทรศักดิ์กำจร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “พลังแห่งยุ
6 ม.ค. 2564 นายเอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในประเด็นสถานก
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ “ผลกระทบของ COVID-19 ต่ออุตสาหก
30 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม นำทีม ผู้บริหาร ปตท. ลงพื้นที่ โรงเรียนเกาะปันหยี และดูวิถีชีวิตชุ
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวในงานแถลงข่าว "ดิจิทัลวัคซีน (Digi
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี