‘เคนมผง’สุดอันตราย
พบผสมสารผลิตยานอนหลับ
เกินกว่ามนุษย์รับได้ถึง20เท่า
รมว.ยุติธรรม เผยผลตรวจ “เคนมผง”มี “ไดอาซีแพม” ในปริมาณที่เกินกว่าคนจะรับไหวถึง 20 เท่า ชี้เป็นสารควบคุมใช้ผลิตยานอนหลับ สั่ง ป.ป.ส.เร่งประสาน อย.หาเส้นทางเล็ดลอดป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับประชาชน ด้าน กมธ.ตำรวจฯสภารุดพบผบช.น.จี้ตัดตอนการระบาดของ”เคนมผง”
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แถลงกรณียาเสพติดชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เคนมผง” ที่ทำให้มีผู้เสพผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ว่า ข้อมูลเคนมผง จากแล็บของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่นำสารตัวอย่างมาวิเคราะห์ พบว่าเกือบ 100% เป็นสารไดอาซีแพม ซึ่งจากการสืบทราบในกลุ่มผู้เสพไดอาซีแพม 1 กรัมมีราคา 450-600 บาท เป็นสารที่ใช้ผลิตยานอนหลับหรือแวเลียม ตามมาตรฐาน 1 เม็ดจะประกอบด้วยไดอาซีแพม 2 มิลลิกรัม และปกติแล้วทางการแพทย์การใช้ยาแวเลียม 10 มิลลิกรัมหรือ 5 เม็ดถือว่าอันตรายถึงชีวิต
“แต่จากรายงานการตรวจพิสูจน์ 5 ตัวอย่าง พบว่าสารตัวอย่างมีความเข้มข้น 93-99% ตกแล้วผู้เสพ 1 คนใช้แวเลียมถึงคนละ 200 มิลลิกรัมหรือ100 เม็ด จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต ทั้งนี้ สารไดอาซีแพม เป็นสารควบคุม โดยองค์การอาหารและยา(อย.) ไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ใช้สำหรับโรงงานผลิตยาเท่านั้น ผมสั่งการให้ป.ป.ส.เร่งตรวจสอบที่มา ประสานทางอย. ขอข้อมูลจากโรงงานที่ขออนุญาต เพื่อตรวจสอบว่าเล็ดรอดมาจากที่ไหนหรือไม่ เพื่อป้องกันนำสารดังกล่าวมาใช้ในทางที่ผิด ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับประชาชนต่อไป” รมว.ยุติธรรม กล่าว
วันเดียวกัน น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร , นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ โฆษกคณะกรรมาธิการ และนายมนตรี ตั้งเจริญถาวร กรรมาธิการ เดินทางเข้าพบหารือกับ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ณ ห้องประชุม ปารุสกวัน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยมี พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.พีรพงศ์ วงษ์สมาน รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผบก.น.5 เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีการแพร่ระบาดของ “เคนมผง”
ในการพูดคุยวันนี้ ได้หารือสอบถามความคืบหน้าในการดำเนินคดีสาเหตุของการเสียชีวิต ผลการตรวจชันสูตรของแพทย์ ผลการตรวจวิเคราะห์ส่วนผสมของยาเสพติดหรือเคนมผง พฤติการณ์ในการกระทำความผิด แนวทางในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด แนวทางในการป้องกันปราบปรามติดตามขยายผลเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผู้แทน สน.วัดพระยาไกร - บางโพงพาง สน.สุทธิสาร และ สน.โชคชัย กล่าวบรรยายสรุป ขณะนี้ล่าสุด มีผู้เสียชีวิต 9 คน รักษาตัวอยู่ไอซียูอีก 3 ราย ซึ่งทาง พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น.ได้มีการเน้นย้ำถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ โดยจะมีการขยายผลและจับกุมตัวการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติดเพิ่มเติมทั้งหมด
น.ส.จิตภัสร์ กล่าวว่า นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธาน กมธ.มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรร่วมมือกันในการทำงาน ป้องกัน ปราบปราม เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเร่งให้มีการขยายผลถึงต้นตอของยาเสพติดใหม่ชนิดนี้ เพราะเกรงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน
“กมธ.การตำรวจฯ ขอให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกันทำงาน แก้ไขปัญหายาเสพติตด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ” น.ส.จิตภัสร์ กล่าว
น.ส.จิตภัสร์ เปิดเผยด้วยว่า ในโอกาสต่อไป คณะกรรมาธิการจะได้จัดการสัมมนา เรื่อง “นักรบสีขาว” ในพื้นที่ บช.น. เพื่อขับเคลื่อนงานต้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ อีกทางหนึ่งด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี