รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ในฐานะกุมารแพทย์เด็กและวัยรุ่น กล่าวในแถลงข่าวและเสวนาออนไลน์เรื่องพฤติกรรมวัยรุ่นกับสารเสพติด หัวข้อ “บุหรี่ต้นทางสู่ยาเสพติดกับกรณีเคนมผง” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ในทางการแพทย์สามารถอธิบายได้ชัดเจนว่าเด็กหรือเยาวชนคนใดที่มีพฤติกรรมเสพติดบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าและรับนิโคตินเข้าไปเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อสมองให้เปิดรับยาเสพติดอื่นๆ ผ่านการกระตุ้นจากฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนที่สร้างความสัมพันธ์การยอมรับจากหมู่เพื่อนของวัยรุ่นผ่านคำพูดต่างๆ เช่น เพื่อนทำได้ ของแบบนี้ต้องลอง เจ๋ง สุดยอดเลยเพื่อน
ซึ่งนิโคตินในบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าจะวิ่งเข้าสู่สมองภายในไม่เกิน 10 วินาที และเข้าไปบ่มเพาะสมองของเด็กและเยาวชนให้ไวต่อสารเสพติดต่างๆ รวมถึงกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ตนจึงอยากเตือนไปยังเยาวชนทุกคนให้นึกถึงสุขภาพของตนเองเป็นหลัก เพราะหากสมองเราถูกทำลายไปแล้วจากสิ่งเสพติด อาจทำให้การคิดวิเคราะห์ การควบคุมอารมณ์ การอยู่ร่วมกันทางสังคม ของเราสูญเสียไปโดยสิ้นเชิง
ขณะที่ นพ.สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนาผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าส่วนประกอบของยาเคนมผงที่มีการนำมาใช้เป็นยาเสพติด พบว่ามีความอันตรายถึงชีวิต ส่วนผสมของยาเคนมผง มียาเคหรือเคตามีน(Ketamine) เป็นส่วนประกอบหลักร่วมกับยาไอซ์ เฮโรอีนและยานอนหลับที่เรียกว่าโรเซ่ นำมาผสมและบดรวมกันจนละเอียดจะมีลักษณะคล้ายนมผง จึงเป็นที่มาของการเรียกว่ายาเคนมผง
โดยผู้ที่นำเคตามีนไปใช้เสพติด จะมีผลข้างเคียงที่อันตรายได้ เช่น อาการกดระบบประสาทรุนแรง คล้ายคนเมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภาพแสงหรือเสียงเปลี่ยนแปลงไป ระบบการทำงานของหัวใจและการหายใจผิดปกติ รวมไปถึงส่งผลต่อ อาการทางจิต เช่น ฝันร้าย เพ้อคลั่ง ประสาทหลอน จนนำไปสู่คนวิกลจริตได้
ภายในงานดังกล่าว ยังได้รับเกียรติจาก นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม
สุขภาพ (สสส.) คนที่ 1 เป็นประธานกล่าว เปิดงาน โดย นายสาธิต ระบุว่า จากกรณีที่พบผู้เสียชีวิต 9 ราย จากการรวมกลุ่มเสพเคนมผง ซึ่งมีเด็กและเยาวชนรวมอยู่ด้วยนั้นสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ
โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการเฝ้าระวังการรวมกลุ่มหรือจัดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลทำให้บุคลากรสาธารณสุข ต้องมีภาระเพิ่มขึ้นในการรักษาโรคจากการเสพยาเสพติดของเด็กและเยาวชน ซึ่งข้อมูลการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดของสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561-31 พ.ค. 2562 พบผู้ป่วยทั้งหมด 3,803 คน เป็นเพศชาย 3,256 คน และเพศหญิง 547 คน กลุ่มที่มากที่สุดอยู่ในช่วงวัยรุ่นอายุ 20-24 ปี 726 คน รองลงมาได้แก่ ช่วงอายุ 25-29 ปี 692 คน
“เด็กและเยาวชนเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากลอง แต่จะทำอย่างไรให้การอยากรู้ อยากลองเป็นอยู่ในขอบเขตของความถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ส่วนราชการมีนโยบายการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง มีการจับกุมดำเนินกับผู้จำหน่าย และการให้ความรู้ผ่านสถานศึกษาหรือกิจกรรมต่างๆ สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบดูแลบุตรหลาน ซึ่งอาจเริ่มต้นได้จากการสร้างความตระหนักรู้จากการไม่สูบบุหรี่ เพราะบุหรี่อาจเป็นต้นทางสู่ยาเสพติดชนิดอื่นๆ ของวัยรุ่นไทย เห็นได้จากรายงานการสำรวจของศูนย์วิจัยเอแบคโพลล์ ปี 2547 พบว่านักเรียนที่สูบบุหรี่ กว่า 100 คน จะมีพฤติกรรมเสี่ยงใช้ยาเสพติดสูงถึง 10 คน” นายสาธิต กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี