คราวก่อนจบตรงที่เหตุผลคร่าวๆ ในการผลักดันและคัดค้านการรับรองเพื่อควบคุมพันธุ์ข้าว ซึ่งมีทั้งดีไม่ดี แล้วแต่มุมมองของฝ่ายหนุนและฝ่ายค้าน ฉบับนี้ขอมาต่ออีกนะครับ ฝ่ายที่คัดค้าน ได้ให้เหตุผลในรายละเอียดว่า การควบคุมพันธุ์ข้าว โดยต้องมีการรับรองพันธุ์ข้าวทุกพันธุ์นั้น จะเกิดผลเสียที่เห็นได้ชัด คือ เป็นการสกัดกั้นการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่ใครๆ ก็ควรมีอิสระกระทำได้ ยิ่งถ้าเป็นชาวนา ควรได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาสร้างพันธุ์พื้นบ้านพื้นถิ่นใช้ปลูกโดยเสรี จะช่วยให้ได้ชนิดพันธุ์ข้าวที่สนองตอบระบบนิเวศและตลาดได้มากขึ้นกว่าเดิม และสงสัยว่าการบังคับให้ต้องเอาพันธุ์ข้าวไปรับรองก่อน น่าจะเป็นเรื่องของความต้องการแสวงหาอำนาจของกรมการข้าว ทั้งที่ทุกวันนี้ก็ออกชนิดพันธุ์ข้าวไม่พอหรือไม่ทันต่อการตอบโจทย์ด้านการตลาด นอกจากนี้ มีความเข้าใจผิดต่อกรณีการออกกฎหมายดังกล่าวว่า ต่อนี้ไป ชาวนาจะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ของตัวเองไว้ใช้ปลูกในฤดูต่อๆ ไปได้ ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากภายนอกอย่างเดียว หากใช้เมล็ดพันธุ์ตนเองปลูก จะมีความผิดถึงขั้นติดคุกติดตาราง (โปรดสังเกตว่า ตอนนี้เริ่มสับสนระหว่างคำว่า “พันธุ์” กับ “เมล็ดพันธุ์”แล้ว – ถ้าต้องการเข้าใจชัดเจนกรุณากลับไปอ่านตอนที่ผ่านมา)หนักกว่านั้น ฝ่ายคัดค้านยังกล่าวหาว่าการเสนอควบคุมพันธุ์ข้าวมีเจตนาแอบแฝงหรือเป็นการสมคบคิดของนักวิชาการกับบริษัทขายเมล็ดพันธุ์ข้าวยักษ์ใหญ่ที่ต้องการผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งระบบ ฟังดูแล้วช่างเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงและทำร้ายจิตใจของนักวิชาการที่มุ่งทำงานวิจัยทดลองเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยเสียเหลือเกิน
ผมเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเสนอกฎหมายนี้เลย แต่ใคร่ครวญอย่างดีแล้วกลับเห็นด้วยว่า การกำหนดให้ต้องมีการรับรองพันธุ์ข้าวนั้น น่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสียและเป็นความคิดริเริ่มที่ควรสนับสนุน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบความจริง เช่น มีการลักลอบเอาพันธุ์ข้าวจากต่างประเทศ หรือจากแปลงทดลองที่ยังทำไม่เสร็จ รวมทั้งผลิตผสมพันธุ์เอง แล้วนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์ขายเอากำไร แอบอ้างหรือตั้งชื่อพันธุ์ใหม่ๆ แปลกๆ จนเกิดความเสียหายแก่ชาวนาและมีการร้องเรียนกันมาโดยตลอด บางพันธุ์มีการโฆษณาสรรพคุณโด่งดัง แต่เมื่อชาวนาเอาไปปลูกต่อๆ กันเพียงไม่กี่ฤดู ก็เกิดการกลายพันธุ์หรือได้ผลผลิตที่ไม่คงตัวสม่ำเสมอ เมื่อไปตรวจสอบก็ไม่ทราบที่มาที่ไป จึงควรอุดช่องว่างอันนี้เสีย
เรื่องการออกกฎหมายนี้เถียงกันอยู่ในสภาประมาณครึ่งปี ในที่สุดก็ไปไม่รอด เพราะมิได้มีแต่เพียงประเด็นด้านการควบคุมพันธุ์ข้าวแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีประเด็นที่แรงกว่าและเกิดการต่อต้านมากกว่า คือ มีการควบคุมบางเรื่องไปถึงพ่อค้าโรงสีข้าว ทั้งนี้โดยผู้เสนอมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ยากจนข้นแค้น และประเด็นหลังนี้เองที่มีการตีความไปคนละอย่าง และมีการคัดค้านกันอย่างรุนแรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อการค้าข้าวอย่างมาก จนกฎหมายนี้ต้องพับฐานไป
มีโอกาสตอนนี้ สิ่งที่ผมอยากจะช่วยทางกรมการข้าวสร้างความเข้าใจอีกครั้ง คือในประเด็นแรกที่ถูกกล่าวหาว่า ถ้ามีกฎหมายนี้แล้ว ชาวนาจะไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวตนเองไว้ปลูกได้ ต้องซื้อจากภายนอกอย่างเดียวนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมหันต์ เพราะจริงๆ แล้วกฎหมายนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ “เมล็ดพันธุ์ข้าว” เลย ทว่าเป็นเรื่องของ “พันธุ์ข้าว” เท่านั้น แล้วก็บังคับเฉพาะการกระทำใดๆ ต่อการขยายพันธุ์ข้าวที่เป็นเชิงธุรกิจการค้าเท่านั้น หมายถึงใครหรือหน่วยงานใดก็ตามที่ค้นคว้าวิจัยสร้างพันธุ์ข้าวขึ้นใหม่ ก็สามารถกระทำได้โดยอิสระเหมือนเดิม และก็จะเอาไปปลูกในที่นาตนเองหรือเพื่อนบ้านแบบวิถีความเป็นอยู่ดั้งเดิมก็ย่อมกระทำได้ตลอดเวลา กฎหมายขอเพียงว่า ถ้าหากจะนำเอาพันธุ์ที่คิดค้นได้ไปผลิตเมล็ดพันธุ์แล้วจำหน่ายในเชิงธุรกิจการค้า ย้ำ “เพื่อจำหน่ายเป็นการค้า” ได้นั้น ขอมาให้กรมการข้าวตรวจสอบประวัติสายพันธุ์ รายละเอียดพันธุ์ รวมทั้งศึกษาพิสูจน์ข้อดีข้อเสียของพันธุ์ ที่เรียกว่า “การรับรอง” เสียก่อนเท่านั้น เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะยังมีประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจต่อในฉบับหน้าอีกครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี