‘บิ๊กอู๊ด’ นำทีมแถลง ตม.ลุยแคมป์บ้านเป้าหมายลอบตัดไม้ไผ่รุกป่าสงวนเมืองกาญจน์ จับจะๆจ้างแรงงานเมียนมาหนีเข้าเมือง สารภาพลอบเดินเท้าเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติบ่อยครั้ง
21 มกราคม 2564 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3 , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม. เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.3 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ตม.จว.กาญจนบุรี บูรณาการด้านการข่าวปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายที่มีเบาะแสว่ามีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบทำงาน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 เวลาประมาณ 16.30 น. บก.สส.สตม. , กก.สส.บก.ตม.3 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ตม.จว.กาญจนบุรี สืบทราบแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่าในสวนปาล์มน้ำมันไม่มีชื่อ ริมถนนสายบ้านเก่า-พุน้ำร้อน ใกล้จุดตรวจร่วมเขาหนีบ มีการรับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายไว้ทำงาน และมีการลักลอบตัดไม้ไผ่โดยบุกรุกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงได้บูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ , กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จ.กาญจนบุรี และหน่วยดูแลรักษาพื้นที่ทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 1 ได้ทำการสำรวจเส้นทางและบริเวณแวดล้อมภายนอกของบ้านเป้าหมาย
จากการวางแผนและนำกำลังไปตรวจสอบบ้านเป้าหมายเบื้องต้น พบว่า เป็นลักษณะไร่ปาล์มน้ำมัน ตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 3512 บ้านพุน้ำร้อน-บ้านลำทหาร ห่างจากจุดตรวจร่วมเขาหนีบประมาณ 1.5 กม. โดยเส้นทางเข้าบ้านเป้าหมาย มี 2 เส้นทาง ทั้ง 2 เส้นทางเป็นประตูเหล็กและมีแม่กุญแจล็อคอยู่ และมีกล้องวงจรปิดติดอยู่หน้าประตูทางเข้า และมีการใช้รั้วลวดหนามล้อมรอบมิดชิดบริเวณด้านหน้าและด้านข้าง ทั้ง 3 ด้าน ทัศนวิสัยสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ประตูทางเข้าจนถึงลานคอนกรีตและบ้านพักจำนวน 1 หลังเท่านั้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเนินลาดชันลงไปจากพื้นถนน ประกอบกับมีต้นไม้ขึ้นค่อนข้างหนาแน่น ผู้ที่ใช้ถนนสัญจรไม่สามารถมองเห็นภายในได้
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ ให้มีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องใช้หมายค้นในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ทำการปิดล้อมและกระจายกำลังเข้าตรวจสอบภายในบ้านเป้าหมายดังกล่าว พบนายจเร แสดงตนว่าเป็นผู้ดูแลสวนปาล์ม พบของกลางเป็นรถบรรทุกดัดแปลง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 1 คัน โดยมีไม้ไผ่ลวกที่ทำการมัดแล้วบรรทุกอยู่เต็มคันรถ และจากจุดที่พบนายจเร ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอยู่จำนวนหนึ่ง
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีไป ประกอบกับพื้นที่เป็นธารน้ำไหลผ่ากลาง และมีต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น ทำให้การติดตามจับกุมเป็นไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสามารถติดตามกลับมาได้ 3 คน มีบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) จำนวน 2 คน อีก 1 คน ไม่มีเอกสารแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ จึงได้นำตัวมาวัดอุณหภูมิ คัดกรองเบื้องต้น ปรากฏว่าไม่มีไข้
จากนั้นได้นำกำลังบางส่วนตรวจสอบพื้นที่ต่อ โดยหลังจากการตรวจสอบบริเวณโดยรอบโดยละเอียด ปรากฏว่าพบบ้านพักคนงาน อยู่บริเวณด้านหลังทางซ้ายมือของสถานที่ มีลักษณะเป็นเรือนไม้ไผ่ชั้นเดียวยกสูง จำนวน 8-10 หลัง พร้อมอุปกรณ์ในการดำรงชีพ ปลูกอยู่ติดกัน คาดว่าจะมีคนต่างด้าวอาศัยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าออกเป็นประจำในสถานที่ดังกล่าว
จากการสอบถามทราบว่าบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารติดตัว ทราบชื่อว่า นายเชค เน่ง เน้ง เชื้อชาติกะเหรี่ยง เข้ามาในราชอาณาจักร ประมาณวันที่ 3 มกราคม 2564 ช่วงเวลากลางคืน ผ่านทางช่องทางธรรมชาติโดยการเดินเท้า และได้เดินทางเข้าออกช่องพรมแดนธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง โดยมิได้มีผู้นำพา โดยรับสารภาพว่าเข้ามารับจ้างตัดไม้ลวกและดูแลความเรียบร้อยภายในสวน ได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท
ส่วนนายจเร มีหน้าที่เป็นผู้ขับรถบรรทุกขนไม้ลวกจากพื้นที่ตัดลงมายังจุดพักไม้ ภายในไร่ดังกล่าว โดยทำงานครั้งละ 3 วัน ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท ซึ่งรายได้จากการขายไม้ไผ่ลวกได้ครั้งละ 30,000 กว่าบาท ต่อ 1 คันรถ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหานายเชค เน่ง เน้ง ว่าเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ในมาตรา 18 และมาตรา 62 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท และมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว มาตรา 51 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-100,000 บาท
ส่วนบุคคลต่างด้าวอีก 2 คน ซึ่งมีบัตรประจำตัวคนไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ได้แก่ นาย KYAL ZIN KO สัญชาติเมียนมา และนาย TUN NAING สัญชาติเมียนมา จากสอบถามพยานบุคคลแล้วน่าเชื่อว่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ก่อนวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งตามมติ ครม. ให้ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ หากเข้ามาในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่มีการประกาศใช้ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า ไม่แจ้งการเปลี่ยนที่พักภายใน 24 ชม. ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบปรับ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง มาตรา 37 (2) เป็นเงินคนละ 4,000 บาท โดยนายจ้างเป็นผู้จ่ายค่าปรับให้
นอกจากนี้ในเบื้องต้น ตม.จว.กาญจนบุรี ได้เชิญตัวนายจ้างมาทำการเปรียบเทียบปรับ ในข้อหาเป็นเจ้าบ้านไม่แจ้งที่พักอาศัยคนต่างด้าวภายใน 24 ชม. ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง มาตรา 38 โดยเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 3,200 บาท และได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรีให้ดำเนินคดีกับนายจ้าง ในข้อหาให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง หลุดพ้นจากการจับกุมและรับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ในมาตรา 64 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท และ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว มาตรา 27 ระวางโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน และได้ประสานสำนักงานป่าไม้จังหวัดกาญจนบุรี นำตัวนายจเร ไปชี้จุดตัดไม้รวกเพื่อคำนวณพื้นที่ถูกบุกรุก เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ การบูรณาการการปฏิบัติดังกล่าวเป็นการตอบสนองมาตรการ นโยบายของทางรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องการปราบปรามเครือข่ายขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย และสกัดกั้นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรค เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยทาง สตม. ได้มีการสืบสวนติดตาม จับกุม และขยายผลพฤติการณ์ในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี