คราวที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับการควบคุมพันธุ์ข้าว โดยเพื่อส่งเสริมรักษามาตรฐานข้าวไทยได้มีการเสนอออกกฎหมายบังคับให้ต้องผ่านการรับรองเสียก่อนที่จะสามารถนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์และจำหน่ายให้ชาวนานำไปปลูกได้ ตกลงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อร่างกฎหมายนี้ยุติไป ก็ยังเป็นเพียงความสมัครใจ คือจะนำมารับรองพันธุ์ที่กรมการข้าวหรือไม่ก็ได้ ฉบับนี้ ผมจึงขออธิบายชี้แจงเพิ่มเติมในอีกประเด็นหนึ่ง คือ ข้อจำกัดของกระบวนการรับรองพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว
คือมันเป็นความอึดอัดและก็น่าเห็นใจทุกฝ่ายกันพอสมควร เพราะการรับรองพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว แนวปฏิบัติก็ได้อธิบายไปแล้วโดยสังเขปในฉบับก่อนๆ ซึ่งจะว่าไปมันก็เปรียบคล้ายกับการไปขอรับรองมาตรฐาน ISO หรือไปขอรับรอง อย. ของกระทรวงสาธารณสุข อะไรทำนองนั้นแหละ ผมเชื่อว่าทุกคนคงเห็นด้วยนะครับว่า หลักของการรับรองก็คือมาตรฐานต้องเข้าขั้น คุณภาพต้องเข้มข้น ถ้าต้องการความเชื่อถือระดับสูงสุด แต่หลักการที่ว่านี้มันก็กลายเป็นดาบสองคมในตัวมันเอง
ส่วนที่ไม่ดี คือทำให้ยุ่งยาก เสียเวลา บางคนเบื่อที่จะต้องมานั่งเป็นวันๆ เพื่อให้คณะกรรมการซักถาม เบื่อที่จะต้องไปทำแปลงปลูกทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก และต้องเก็บข้อมูลละเอียดยิบ ลำพังนักวิจัยของกรมการข้าวเองที่คิดค้นพันธุ์ข้าวซึ่งเป็นหน้าที่อยู่แล้ว มาเจอเรื่องแบบนี้ บางคนก็ยังเกิดความท้อถอย แต่เหตุเพราะเป็นหน้าที่และมีตัวชี้วัด จึงต้องกัดฟันทนตอบคำถาม ทำแปลงทดลองเก็บข้อมูล เพื่อทำให้สำเร็จให้จงใด้ ทีนี้ถ้าเป็นนักวิจัยจากภายนอก เช่น จากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาอื่น จากหน่วยราชการอื่น ที่เขาวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวโดยมิใช่ mandate ของเขาเลย บางคนเขาก็ไม่อยากจะอดทนครับ ยิ่งบางคนจบระดับดอกเตอร์มา ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เอ้ย.. ศักดิ์ศรีของความเป็นนักวิชาการมีสูงมาก เขาก็ไม่อยากมานั่งนานๆ ให้ซักไซ้ไล่เลียงหรอก สู้เอาพันธุ์ข้าวที่พัฒนาได้ไปผลิตเมล็ดพันธุ์และจำหน่ายเลยดีกว่า อาศัยการโหมประชาสัมพันธ์มากๆ ชาวนาเราก็รับแล้ว เพราะจริงๆ แล้ว ธรรมชาติของชาวนาในเขตชลประทานภาคกลางเราเป็นพวกหัวไวใจสู้และชอบลองของใหม่ อะไรที่มาใหม่และเชื่อว่าดี จะต้องเอาก่อนเลย ถ้าสำเร็จก่อนถือว่าสุดยอด เพื่อนบ้านยกนิ้วให้ แต่ถ้าล้มเหลว ปีหน้าก็หาข้าวพันธุ์ใหม่มาปลูกใหม่ ดังนั้นเราจึงได้เห็นมีการนำพันธุ์ข้าวที่ยังไม่ได้มีการรับรองออกมาขายให้ชาวนาปลูก พ่อค้าหัวใสบางคนเห็นกำไรงาม ก็ไปหาเมล็ดพันธุ์ข้าวมาขาย ดีบ้างไม่ดีบ้าง (อย่างมากก็แค่ให้ได้มาตรฐานตามกฎหมายเมล็ดพันธุ์) และนี่คืออีกเหตุผลหนึ่งอันเป็นที่มาของการเรียกร้องให้มีการใช้ปลูกเฉพาะพันธุ์ข้าวที่ได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น
ข้อจำกัดของการรับรองพันธุ์ข้าว ปัจจุบันบางท่านก็ว่า นอกจากจะเป็นกระบวนการที่ชักช้าน่าเบื่อแล้ว ยังส่งผลให้ประเทศไทยเรามีจำนวนพันธุ์ข้าวที่น้อย ไม่หลากหลายสนองตอบเท่าที่ตลาดต้องการ เช่น มีผู้กล่าวว่า เรามีเฉพาะพันธุ์ข้าว คือ 1) ข้าวหอม 2) ข้าวพื้นแข็ง และ 3) ข้าวเหนียว แต่ทว่าเราขาดข้าวพื้นนุ่มซึ่งขณะนี้ตลาดกำลังเป็นที่ต้องการมากและประเทศคู่แข่งเพื่อนบ้านเรามีขายนั้น ผมได้รับการยืนยันจากนักวิชาการกรมการข้าว เบื้องต้นสำหรับในประเด็นแรก คือ เรื่องชักช้าใช้เวลามากนั้น ไม่ถูกต้องครับ เรียนว่ากระบวนการรับรองพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับการสอบวิทยานิพนธ์ ของนักศึกษานั่นแหละ คือ ถ้าตอบคำถามชัดเจนและหากไม่มีการแก้ไขเลย การสอบนั้นก็จะผ่านในครั้งเดียว แต่ถ้าคณะกรรมการสอบขอให้แก้ไข ผู้สอบกลับไปแก้ไขอย่างรวดเร็ว การสอบผ่านก็จะเร็วขึ้นตาม แต่หากคณะกรรมการสอบขอให้แก้ไขผู้สอบไม่ยอมแก้ไข ปล่อยเวลาเนิ่นนานออกไป หรือหายไปเลย ก็เป็นที่แน่นอนว่า คงต้องใช้เวลามากขึ้น
ทั้งนี้ นักวิชาการยืนยันว่า โดยทั่วไปถ้าทุกอย่างครบถ้วน รับรองรองพันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์ใช้เวลาไม่เกิน 2 ปี ส่วนที่มีการพูดกันว่าการรับรองข้าวแต่ละพันธุ์ใช้เวลาถึง 6-7 ปี นั้นผิดครับ เพราะเป็นการนับรวมถึงระยะเวลาการคิดค้นสร้างพันธุ์ข้าวใหม่ตั้งแต่ต้นกระทั่งรับรองพันธุ์เสร็จ แต่ 6-7 ปีนี่ก็เป็นระยะเวลาของวิธีการสร้างพันธุ์ข้าวแบบดั้งเดิมโบราณนะครับ ในทางตรงกันข้าม หากเรามีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยกว่านี้ ระยะเวลาการได้พันธุ์ข้าวใหม่ก็ย่อมจะสั้นลงกว่าครึ่งแน่นอน
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี