เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับการออกกฎหมายเพื่อควบคุมพันธุ์ข้าว ที่ผมต้องช่วยทำความเข้าใจ คือ การที่มีผู้คัดค้านให้ความเห็นต่อการมีกฎหมายดังกล่าวว่า มีเจตนาแอบแฝงหรือเป็นการสมคบคิดในอันที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทหรือพ่อค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวรายใหญ่เพื่อผูกขาดการจำหน่ายในประเทศไทย ประเด็นนี้ถือเป็นการกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรง และดูเหมือนจะมองโลกในแง่ร้ายสักหน่อย
ที่ผมต้องนำเรื่องนี้มาพูดอีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะข้อกล่าวหาข้างต้น เท่าที่ทราบยังไม่มีการอธิบายชี้แจงในที่สาธารณะจากคณะผู้ยกร่าง รวมทั้งจากบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องแต่ประการใด ผมเดาเอาว่า การที่ผู้คัดค้านกล่าวหาเช่นนั้น เบื้องต้นอาจเนื่องจากความเข้าใจผิดๆ คิดว่าธุรกิจพันธุ์ข้าว หรือการค้าขายเมล็ดพันธุ์ข้าวในประเทศไทย คงจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินรายได้มหาศาล โดยมองผลกำไรที่อู้ฟู่จากผู้ที่ทำการค้าขายพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ประเภทต่างๆ เช่น เมล็ดพันธุ์ข้าวโพด พันธุ์ไม้ผล พันธุ์ผัก พันธุ์เป็ด พันธุ์ไก่ พันธุ์สุกร แต่ความเป็นจริงกำไรงามที่กล่าวกลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามในแง่ของพันธุ์ข้าว เนื่องจากพันธุ์ข้าวหรือเมล็ดพันธุ์ข้าวในปัจจุบันราคาขายถูกมาก เพราะถ้าขายแพง คงจะไม่มีชาวนาซื้อไปใช้ เนื่องจากสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ตัวเองไว้ใช้ปลูกต่อๆ กันไปได้
ทุกวันนี้จึงหาเอกชนลงทุนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจำหน่ายได้ยาก เพราะทำแล้วแทบไม่มีกำไร ในส่วนที่กรมการข้าวผลิตอยู่และจำหน่ายให้ชาวนานั้น บอกตรงๆ ว่าถ้าคิดรวมต้นทุนทุกอย่างแล้ว เป็นราคาขายที่ขาดทุนครับ ทั้งๆ ที่ตลอดมา กรมการข้าวต้องการให้เอกชนมาร่วมผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เพียงพอกับความต้องการใช้ปลูกทั้งประเทศ แต่กระนั้นยังหาแทบไม่ได้ แล้วอย่างนี้ยิ่งถ้ามีการควบคุมพันธุ์ข้าว มันจะช่วยให้เอกชนหรือนายทุนยักษ์ใหญ่ผูกขาดตลาดพันธุ์ข้าวได้อย่างไรผมยังนึกไม่ออก ส่วนที่บอกว่าจะมีการบังคับให้ชาวนาซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกปี (ห้ามใช้เมล็ดพันธุ์เก็บเอง) นั้นขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าเกิดจากความสับสนเข้าใจผิดระหว่างคำว่าพันธุ์กับเมล็ดพันธุ์ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ถือว่าเป็นการสร้างเฟคนิวส์หรือข่าวปลอมครับ
เอาล่ะ ถึงแม้ว่าในอนาคตการขายพันธุ์หรือเมล็ดพันธุ์ข้าว อาจกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้มหาศาลเหมือนพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์อื่นๆ ก็เถอะ การเสนอให้มีการควบคุมโดยต้องใช้เฉพาะพันธุ์ข้าวที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองพันธุ์ข้าวแล้วเท่านั้น ก็ยังมองไม่ออกว่าจะไปช่วยเอื้อประโยชน์แก่นายทุนยักษ์ใหญ่ได้อย่างใร เนื่องจากหากมองในด้านอุปสงค์ สิทธิในการเลือกพันธุ์ข้าวปลูก ก็ยังเป็นของชาวนาโดยแท้ ไม่มีใครไปบังคับได้ และถ้ามองทางด้านอุปทาน พันธ์ุข้าวที่ผ่านการรับรองแล้วปัจจุบันมีเป็นร้อยๆ พันธุ์ กรมการข้าวต้องขายหัวเชื้อพันธุ์ข้าวให้แก่ผู้มาซื้อทุกคน เพื่อนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์ขายอีกต่อหนึ่ง แข่งกันทำตลาดกันเอาเอง ก็ไม่เห็นว่ากฎหมายฉบับนี้จะไปเข้าข้างใครหรือไม่เข้าข้างใคร ในทางตรงกันข้าม การที่ไม่มีกฎหมายควบคุมพันธุ์ข้าวเลย ใครจะผลิตพันธุ์ข้าวใดจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ก็ได้ มันน่าจะเป็นการเอื้อต่อการผูกขาดตลาดได้มากกว่าเสียอีก เพราะเมื่อเอกชนหรือใครก็ตามวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวได้เอง ย่อมสามารถนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้ชาวนานำไปปลูกได้ทันที ได้มาตรฐานหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอกชนที่มีทุนมากก็ย่อมได้เปรียบไม่ใช่หรือ และที่เป็นจริงอยู่ในทุกวันนี้เพื่อลดต้นทุนมีการใช้วิธีรวบรวมพันธุ์ข้าวจากชาวนาทั่วๆ ไป เพียงแต่ไปเสาะหาแปลงพันธุ์ข้าวจากแหล่งปลูกใหญ่ๆ หรือแม้กระทั่งลักลอบนำเอาพันธุ์ข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาตั้งชื่อใหม่ ผลิตเมล็ดพันธุ์และบรรจุกระสอบขาย สามารถทำกันอย่างเสรีและง่ายดาย ในท้องตลาดจึงมีชื่อพันธุ์ข้าวแปลกๆ ใหม่ๆ ที่โฆษณาอวดอ้างว่าคุณภาพดี ผลผลิตสูง หลอกลวงให้ชาวนาหลงซื้อไปปลูก เสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อพันธ์ุข้าวไทยอย่างประเมินค่ามิได้ ผมว่าปล่อยไปแบบนี้แหละ น่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริง
สุดท้าย ถ้าจะบอกว่าการบังคับให้ต้องรับรองพันธุ์ข้าวก่อน อาจมีการเลือกปฏิบัติเข้าข้างบริษัทยักษ์ใหญ่ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก เนื่องจากคณะกรรมการรับรองพันธุ์ข้าว ประกอบด้วยนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และมีตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ สมาคมผู้ส่งออกข้าว สมาคมโรงสี รวมทั้งชาวนา ซึ่งก็คงยากมากทีเดียวที่กรมการข้าวจะไปชี้นำท่านเหล่านี้ได้ จริงไหมครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี