“สงกรานต์ปลอดเหล้าจัดครั้งแรกที่ถนนข้าวเหนียว 10 กว่าปีก่อน ตอนเราเริ่มๆ เจรจา คุยๆ กันสงกรานต์ปลอดเหล้าเป็นเรื่องที่ถูกหัวเราะใส่หน้า เป็นไปไม่ได้! เป็นเรื่องตลก! จนกระทั่งมีเทศบาลนครขอนแก่น กล้าหาญที่จะลองเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ บนถนนข้าวเหนียวก่อนแล้วก็เกิดต้นแบบถนนตระกูลข้าวตามมาเกือบ 60 ข้าว จนจะหาชื่อข้าวตั้งไม่ได้”
เรื่องเล่าจาก สุปรีดา อดุลยานนท์ผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถึงการเกิดขึ้นของแนวคิด “สงกรานต์ปลอดเหล้า” ที่ในอดีตหากไปพูดที่ไหนมีแต่จะถูกเย้ยหยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะสงกรานต์ก็เฉกเช่นเทศกาลหรืองานประเพณีอื่นๆ ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของคู่กันแทบจะตั้งแต่เกิดจนตายของสังคมไทย ไม่ว่าสงกรานต์ ปีใหม่ งานบุญงานบวช ฯลฯ
กระทั่งเมื่อมีหน่วยงานภาครัฐในระดับท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ดังกรณีนี้คือ เทศบาลนครขอนแก่น จ.ขอนแก่น ขออาสาปักหมุดนำร่องเป็นพื้นที่แรก ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส. ก็ทำให้ “ถนนข้าวเหนียว” กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เล่นสาดน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ และแนวคิดพื้นที่เล่นสาดน้ำที่ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ขยายวงไปอีกมากมายหลายจุดทั่วไทย
แม้ สสส. จะเป็นองค์กรที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายจะไปสั่งการหรือบังคับใครให้ปฏิบัติตามได้ แต่ก็มีจุดแข็งอยู่ที่การทำงานเชิงวิชาการ การสื่อสารกับสังคม และการประสานกับภาคีเครือข่ายที่ลงลึกถึงชุมชน “การทำงานของ สสส. เน้นหนักไปที่การสร้างความรู้ความเข้าใจในระดับเปลี่ยนแปลงค่านิยมหรือวัฒนธรรมเดิมซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ” เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายน้อยรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม ฯลฯ
สุปรีดา ยกตัวอย่างคำว่า “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” ซึ่งก่อนจะมาเป็นคำขวัญคุ้นหูในเทศกาลปีใหม่ สสส. เองก็ได้เรียนรู้จากความล้มเหลว เพราะเคยมีการใช้คำว่า “กระเช้าปลอดเหล้า” รณรงค์ไม่ให้กระเช้าของขวัญที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วพบว่าไม่เข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของคนไทย จึงเปลี่ยนเป็นคำว่าให้เหล้าเท่ากับแช่ง เพราะในเมื่อกระเช้าของขวัญนั้นแทนด้วยสิ่งดีๆ ความปรารถนาดีของผู้ให้ถึงผู้รับ ก็ไม่ควรจะนำครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพมาเป็นของขวัญมอบให้กัน
“เอามุมด้านจิตวิทยาสังคม เอามุมด้านวัฒนธรรม ปีใหม่กระเช้าที่ถือเป็นเจตนาที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เราเคารพรักเนื่องในวันมงคล แล้วทำไมเราเอาสิ่งอัปมงคลไปให้ในวันมงคล ให้เหล้าเท่ากับแข่ง มันClick (โดนใจ) กับสังคมไทยนะตอนนั้นก็บวกกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 32 ของ พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551) ที่ห้ามขายพ่วง แนวมันไปด้วยกัน เหล้าหายไปจากกระเช้าจำนวนมากจนทุกวันนี้ บทเรียนนี้ไปแสดงที่อื่นไม่ Click ประเทศอื่นเขาไม่ Click มันใช้ไม่ได้ มันเป็น Context
(บริบท) เฉพาะเรา” สุปรีดา อธิบาย
การทำงานของ สสส. ทำให้แม้ว่าจำนวนผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะไม่ลดลงมากนักอย่างมีนัยสำคัญ โดยลดจากร้อยละ 32.7 ในปี 2547 มาอยู่ที่ร้อยละ 28.4 ในปี 2560 แต่ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงการดื่มในเชิงสังคม (Social Drink) ไม่ใช่การดื่มหนักประเภทเมาหัวราน้ำ ขณะที่การสูบบุหรี่นั้นลดลงจากร้อยละ 25.47 ในปี 2544 เหลือร้อยละ 19.10ในปี 2560 และส่วนใหญ่คือคนที่สูบอยู่เดิมมานานแล้ว
ในทางกลับกันยังพบว่า คนไทยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ66.30 ในปี 2555 เป็นร้อยละ 74.60 ในปี 2562 เห็นได้ชัดจาก “งานวิ่ง”ที่จัดกันแทบทุกสัปดาห์ก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีคนสมัครร่วมวิ่งเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องใหม่อย่าง “ภาษีความหวาน” หรือการเก็บภาษีจากเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล ที่เริ่มต้นมาตั้งแตปี 2562 หวังให้ประชาชนลดการบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน ภาวะอ้วน ฯลฯ ยังต้องติดตามผลกันต่อไปกว่าเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด
“ภาษีเครื่องดื่มผสมน้ำตาล อันที่จริงก็ซับซ้อนพอประมาณ น้ำตาลคือปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง กินน้ำตาลเยอะๆ มีปัญหาต่อสุขภาพทำนองเดียวกับเหล้า-บุหรี่ ความยากกว่าก็คือน้ำตาลมันมีประโยชน์ มันก็มีพลังงาน ไม่นับว่าเป็นรสชาติของชีวิต ใครเอาความหวานไปจากชีวิตเรามันจะโกรธ แม้แต่คำว่า...อันแสนหวาน..ไปต่อท้ายอะไรมันเป็นสิ่งดีงามทั้งนั้น เรากำลังพูดถึงปัจจัยเสี่ยงบางตัวซึ่งกำกวมกว่าเรื่องชัดๆ อย่างยาบ้า เหล้า บุหรี่”สุปรีดา ระบุ
ในเดือน พ.ย. 2564 จะเป็นช่วงครบรอบ 2 ทศวรรษในการเกิดขึ้นของ สสส. พอดี ซึ่งจากการทำงานตลอด 20 ปี ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมไทยหลายด้าน เกิดโครงการส่งเสริมสุขภาพกว่า 3,000 โครงการต่อปี ครอบคลุมประเด็นเชิงสุขภาวะที่หลากหลาย มีภาคีเครือข่ายมากกว่า 20,000 ราย เข้าร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพ ทำให้ องค์การอนามัยโลก (WHO)ตัดสินใจมอบ “รางวัล เนลสัน แมนเดลาด้านการส่งเสริมสุขภาพ (Nelson Mandela Award for Health Promotion 2021)” ให้กับ สสส.
โดย เนลสัน แมนเดลา นอกจากจะเป็นรัฐบุรุษของประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะผู้ต่อสู้เพื่อยุติปัญหาการแบ่งแยกสีผิวจนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแล้ว ยังมีบทบาทด้านส่งเสริมการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสตรี เด็ก และโรคเอดส์ (HIV/AIDS) ด้วย องค์การอนามัยโลกจึงนำชื่อของท่านมาตั้งเป็นรางวัลดังกล่าว และการที่ สสส. ได้รับรางวัลนี้ ย่อมถือเป็นความสำเร็จของภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพทุกคนที่อุทิศตนทำงาน
ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวถึงประเด็นท้าทายที่ สสส. จะต้องทำต่อไปหลังจากนี้ เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สำหรับให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพอย่าง
เจาะจงเป็นรายบุคคล ผ่านความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ที่มีแอปพลิเคชั่นของตนเองสำหรับแจ้งข่าวสารเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ กับประชาชนผู้ถือบัตรทอง ในการนำผลการศึกษาต่างๆ ที่อยู่ในคลังข้อมูลของ สสส. ส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการความรู้ด้านนั้น อาทิ คนสูบบุหรี่ที่อยากเลิกบุหรี่ พ่อแม่มีลูกวัยรุ่นที่ต้องพูดคุยเรื่องเพศกับลูก เป็นต้น
หรือการรับมือปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆด้านสุขภาพที่มากับเทคโนโลยี อาทิ การรังแกกันทางออนไลน์ (Cyber Bullying) เส้นแบ่งระหว่างการเล่นเกมคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นกีฬา (E-Sport) กับภาวะติดเกม นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัว 2 หน่วยงานภายใต้การกำกับ คือ ศูนย์กิจการสร้างสุข (SOOK Enterprise) ทำหน้าที่ขยายผลองค์ความรู้ข้อมูลวิชาการ สร้างเสริมประสบการณ์ด้านสุขภาวะให้เข้าถึงประชาชน ผ่านกิจกรรมและผลิตภัณฑ์สุขภาวะที่สร้างสรรค์ และสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (ThaiHealth Academy) เพื่อพัฒนาศักยภาพ และให้คำปรึกษาภาคีเครือข่าย
สำหรับพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ รางวัล เนลสัน แมนเดลาด้านการส่งเสริมสุขภาพ จะจัดขึ้นในระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลกสมัยที่ 74 ในวันที่ 28 พ.ค. 2564 ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทั้งนี้ สสส. ขอชวนคนไทยร่วมภาคภูมิใจไปด้วยกัน เป็นพลังสร้างสรรค์งานสร้างเสริมสุขภาวะ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี