เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยนายหิรัณย์เศรษฐ เหยี่ยวประยูร ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป.ป.ช. นายนายสมเจตน์ จันทนา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค และคณะเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ได้ร่วมกันลงพื้นที่ไปตรวจสอบแปลงที่ดินที่อยู่กลางหุบเขาท้องที่บ้านหาดงิ้ว หมู่ 5 ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เนื้อที่ 459 ไร่เศษ ที่ดินบางส่วนอยู่ติดแม่น้ำแควน้อย มีการปรับพื้นที่ทำไร่ สำหรับปลูกทุเรียนพันธุ์ดีหลายพันต้น โดยมีตัวแทนของผู้ครอบครองนำเอกสารการครอบครองเป็นเอกสาร น.ส.3 ก.จำนวน 8 ฉบับ มาแสดงพร้อมกับนำพาเจ้าหน้าที่ออกสำรวจตรวจสอบรอบแปลง
โดยจากการตรวจสอบครั้งนี้เป็นไปตามนโยบาย ทส.ยกกำลัง2+4 ของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่ให้เจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานหนักขึ้นเป็นสองเท่าในการช่วยเหลือราษฎรทุกมิติทุกด้านและให้ปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า หรือการเข้าครอบครองที่ดินของนายทุนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเด็ดขาด
จากการวัดค่าพิกัดดาวเทียม จากเครื่อง GPS รอบแปลงเอกสาร น.ส.3 ก.ทั้ง 8 ฉบับ ผลปรากฏว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค รวมทั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย และอยู่ในเขตป่าถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2516 เมื่อตรวจสอบแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลัง ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2497 พบเป็นป่าเบญจพรรณทั้งแปลง และไม่เคยมีร่องรอยการเข้าทำประโยชน์แต่อย่างใด
สำหรับมูลเหตุของการเข้าตรวจสอบครั้งนี้นั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อปี พ.ศ.2554 และปี พ.ศ.2557 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการตรวจสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง และมีข้อสงสัยว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ทั้ง 8 ฉบับ นั้นออกมาได้ด้วยวิธีใด เนื่องจากที่ดินอยู่ในเขตอุทยานฯที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้
จากการตรวจสอบเอกสารการครอบครองที่ดินทั้ง 8 ฉบับ ก็ไม่สามารถตรวจสอบจากสาระบบของกรมที่ดินได้ เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2534 นั้นที่ว่าการอำเภอไทรโยค ถูกไฟไหม้ทั้งหลัง ทำให้เอกสารเกี่ยวกับที่ดินเสียหายไปทั้งหมด ต่อมาจังหวัดกาญจนบุรี จึงประชุมหารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อลงพื้นที่สำรวจแปลงที่ดินให้กับประชาชนในการรับรองออกเอกสารฉบับให้มาทดแทน โดยมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ปลัดอำเภอไทรโยค เจ้าหน้าที่ป่าไม้อำเภอไทรโยค และเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอไทรโยค
จากการตรวจสอบเอกสาร น.ส.3 ก.ทั้ง 8 ฉบับที่เข้าตรวจสอบแปลงที่ดินอย่างละเอียด พบว่าเป็นเอกสารการครอบครองที่ดินฉบับใหม่ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นมาเซ็นรับรองในเอกสาร น.ส.3 ก.เพียงแค่ 2 ฝ่าย คืออดีตปลัดอำเภอไทรโยค และอดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอไทรโยค โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้อำเภอไทรโยคเซ็นต์รับรองด้วย
ต่อมา พ.ศ.2562 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค นำหลักฐานและเอกสาร เกี่ยวกับที่ดิน เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ครอบครองที่ดิน ในข้อหาบุกรุก ยึดถือครอบครอง ที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค โดยไม่รับอนุญาต
พร้อมทั้งส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.เพื่อให้ร่วมตรวจสอบหาหลักฐานในการ ดำเนินคดี กับเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 2 ราย ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานละเว้นหรือปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 157 รวมทั้งให้ดำเนินคดีต่อบุคคลที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้ออกเอกสาร น.ส.3 ก.โดยมิชอบอีกด้วย
นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ลงพื้นที่ตรวจสอบแปลงที่ดินอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น เป็นการลงพื้นที่ตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อเตรียมไปพิจารณาชี้มูลความผิดต่อเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ราย และยังเตรียมชี้มูลให้กรมที่ดิน เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ( น.ส.3ก) จำนวน 8 ฉบับ ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวมีนายทุนชาว อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นเจ้าของ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี