“มันสร้างความหวาดกลัวจากสายตาคนภายนอกที่มองเข้ามา ผู้คนมองเข้ามาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ล้วนมาจากการสื่อสารที่ใช้ข้อมูลเหล่านี้สื่อสารออกไปผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาขึ้น คนมองพื้นที่ชายแดนใต้น่ากลัวไปหมด มองคนด้วยความไม่ไว้วางใจ อันนี้เป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน”
ผศ.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา อาจารย์คณะวิทยาการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) กล่าวในเวทีเสวนาเนื่องในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก (InternationalFact-Checking Day 2021) ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงปัญหา “ข่าวปลอม-ข่าวลือ” ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ม.อ.ปัตตานี พยายามสร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อมาตั้งแต่ปี 2546 ทั้งกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่
สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส นอกจากจะมีสถานการณ์ความรุนแรงยืดเยื้อยาวนานกว่าทศวรรษแล้ว ข่าวปลอมหรือข่าวลือก็เป็นปัญหาหนักเช่นกัน ท่ามกลางรูปแบบการสื่อสารที่เปลี่ยนไป จากเดิมเมื่อครั้งเกิดเหตุรุนแรงใหม่ๆ สื่อมวลชนคือช่องทางหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร กลายเป็นทุกคนสามารถสร้างข้อมูลและสื่อสารกันเองในกลุ่มได้
ซึ่งการสำรวจในปี 2559 โทรทัศน์และสื่อบุคคล (เช่น ญาติ เพื่อน ผู้นำศาสนา ฯลฯ) ยังมีบทบาทสำคัญ ส่วนสื่อออนไลน์ (เช่น Line Facebook ฯลฯ) เพิ่งเริ่มปรากฏบทบาทขึ้น แต่การสำรวจอีกครั้งในปี 2563 พบบทบาทของสื่อบุคคลลดลง ส่วนโทรทัศน์ยังคงเดิม และที่น่าสนใจคือสื่อออนไลน์มีบทบาทเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการที่ผู้คนเข้าถึงโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนได้มากขึ้น ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาคือมีการเผยแพรข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จหรือบิดเบือน
“เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547-2551 ในช่วงต้น จะมีข่าวลวงข่าวลือเยอะมากผ่านใบปลิว แล้วก็แพร่กระจายผ่านโทรศัพท์มือถือ โทร.ถึงกัน ไม่ได้ใช้ Social Media (สื่อออนไลน์) อาจจะยังไม่ฮิตในช่วงนั้นซึ่งก็เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน แล้วก็เผยแพร่ข้อมูลข่าวลือข่าวลวงผ่านชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะมีเป็นมัสยิด พูดคุยกันในร้านน้ำชา หรืออาจจะเป็นแหล่งชุมชนต่างๆ ในตลาด
เช่น เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องของโจรน้ำมันหรือโจรนินจา ซึ่งก็เป็นคำที่เขาใช้เรียกคนที่แอบเข้าไปในหมู่บ้านของชาวบ้าน แล้วลือกันว่าเป็นโจรที่ทาตัวด้วยน้ำมัน เวลาจับก็จะลื่นหลุดมือไป ก็เลยเรียกโจรน้ำมันหรือโจรนินจา แล้วก็มีข่าวลือผ่านใบปลิว ผ่านแบบพูดกันปากต่อปาก เช่น การให้หยุดงานวันศุกร์ ถ้าใครไม่เชื่อ
ไม่ทำก็จะถูกตัดหู อันนี้เป็นใบปลิวเผยแพร่ออกมาเลย แล้วก็แพร่กระจายกันทั้ง 3 จังหวัด กลายเป็นว่าในยุคนั้นวันศุกร์ต้องหยุดค้าขาย หยุดการทำมาหากิน อันนี้เป็นข่าวลือในลักษณะของจิตวิทยาสังคม” ผศ.ภีรกาญจน์ ยกตัวอย่าง
ผศ.ภีรกาญจน์ เล่าต่อไปว่า ในการรวบรวมข้อมูลเมื่อปี 2562 พบข้อสังเกตกรณีเพจเฟซบุ๊คที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า “เพจเฟซบุ๊คที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งพบมีจำนวนผู้ติดตามถึงหลักแสน แต่เพจที่เป็นพื้นที่กลางหรือของภาคประชาสังคมที่รู้ตัวตนมีผู้ติดตามเพียงหลักพัน” และเพจเหล่านี้ส่งผลต่อการรับรู้ต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่แตกต่างกัน
เช่น ในช่วง 10 วันสุดท้ายของช่วงถือศีลอด (รอมฎอน) ของปี 2562 เกิดเหตุวางระเบิดที่ตลาดในพื้นที่ จ.ปัตตานี นำไปสู่ปฏิบัติการปิดล้อมบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 4 ต.กาหลง อ.ยะหา จ.ยะลา มีผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต 1 ราย อีกส่วนหนึ่งหนีไปได้ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ในเวลานั้นมี 2 เพจที่เผยแพร่เนื้อหาเหตุการณ์นี้แต่เพจหนึ่งมีท่าทีสนับสนุนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ส่วนอีกเพจมีท่าทีต่อต้านปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ “ข้อจำกัดอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหาข่าวลือใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือไม่มีองค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง” เช่น เหตุการณ์ข้างต้นนั้นเพจเฟซบุ๊คฝั่งที่ต่อต้านปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ระบุว่าบ้านหลังที่มีการปะทะกันนั้นเกิดเพลิงไหม้และมีทรัพย์สินจำนวนมากหายไป ส่วนเพจฝั่งสนับสนุนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเหตุที่บ้านไฟไหม้เพราะผู้ต้องสงสัยวางเพลิงเองเพื่อเตรียมหลบหนีหรือไม่ก็อาจมาจากไฟฟ้าลัดวงจร
ส่วนการทำงานของเพจฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ จะพบ 3 รูปแบบคือ 1.ใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) แบ่งเขาแบ่งเรา ใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทอ2.โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)ผูกโยงอุดมการณ์ทางการเมืองศาสนาหรืออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และ 3.สร้างเรื่องเพื่อตอบโต้ (Fabricated Content) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนเองและตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ยับพบ “การต่อสู้ทางวาทกรรม” ระหว่างเพจเฟซบุ๊คของทั้ง 2 ฝ่ายด้วย
โดยฝ่ายต่อต้านปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ เรียกชาวบ้านว่าชาวมลายูปาตานี กล่าวหาปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่คือการข่มเหงรังแกจากรัฐสยาม สรรเสริญผู้ที่เสียชีวิต มองว่ารัฐสยามใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ (IO-Information Operation) ครอบงำและจัดการกับผู้ที่พูดความจริง ส่วนฝ่ายสนับสนุนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ เรียกเหตุการณ์ที่ผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรม เรียกเจ้าหน้าที่ว่าทหาร และกล่าวหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บางคนว่าเป็นแนวร่วมโจรใต้
ผศ.ภีรกาญจน์ ยังกล่าวอีกว่า “ความยากอีกเรื่องในการต่อสู้กับข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนในพื้นที่ชายแดนใต้ คือการสื่อสารที่หลายครั้งไม่ได้ใช้ภาษาไทย แต่ใช้ภาษายาวีที่เขียนด้วยตัวอักษรอาหรับ” ในพื้นที่นั้นใช้ทั้งภาษาไทย ภาษายาวีที่เป็นภาษาพูด และภาษายาวีที่เป็นการเขียน การทำงานร่วมกับผู้รู้ด้านภาษาจึงมีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม “ในข้อมูลอาจมีทั้งความคิดเห็นและข่าวลือปะปนกัน จึงไม่ง่ายที่จะฟันธงว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงออกหรือการบิดเบือนข้อมูล” ทางออกจึงอยู่ที่การหา “พื้นที่กลาง” นำข้อมูลทั้งหมดมาพูดคุยกัน
“แต่ละฝ่ายที่มันตรงข้ามกันได้มา Balance (สร้างสมดุล) ความคิด ได้เอาข้อมูลในเชิงวิชาการไปทำงานทางความคิดต่อ เพื่อที่จะลดอำนาจของข้อมูลบิดเบือนข้อมูลลวงลดลง ผมว่ามันต้องสร้างพื้นที่กลางตรงนี้ให้มากขึ้นแล้วลองไปดูประเด็นสื่อสารที่เขาพูดคุยถกเถียงกันในพื้นที่การสื่อสารออนไลน์มันมีอะไรบ้าง แล้วพยายามหยิบขึ้นมาสร้างพื้นที่กลางให้เกิดพื้นที่กลางถกเถียงพูดคุยกัน Balance ข้อมูลกัน อันนี้ผมคิดว่ามันจำเป็นต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนใต้” ผศ.ภีรกาญจน์ กล่าวในท้ายที่สุด
หมายเหตุ : เวทีเสวนาเนื่องในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-Checking Day 2021) ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ร่วมจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), โคแฟค (COFACT)ประเทศไทย เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network :IFCN) และภาคีเครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงกว่า 30 องค์กรในประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี