เกษตรฯ ประสบความสำเร็จลดเผาในพื้นที่เกษตร Hot Spotทั่วประเทศ ลดลง 53% ตั้งแต่ ม.ค. - เม.ย. 2564 ผลักดันเกษตรกรสร้างเครือข่ายจัดการเศษวัสดุ สร้างรายได้งามให้ชุมชน
จากสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเผาในที่โล่ง ทั้งพื้นที่ป่า และพื้นที่ทางการเกษตร จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและทางเศรษฐกิจ และยังส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาชีพการเกษตร เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลผลิตที่ได้รับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้มีนโยบายให้กรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินการโครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร และถ่ายทอดความรู้ด้านทำเกษตรปลอดการเผาให้กับเกษตรกร ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีในพื้นที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมกันจัดงานรณรงค์ในท้องถิ่น เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ช่วงวิกฤติหมอกควัน จัดทำแปลงนำร่องสาธิตเทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุทดแทนการเผา ส่งผลให้ทุกพื้นที่ของประเทศมีจุดความร้อนสะสม (Hotspot) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 - 22 เมษายน 2564 รวมระยะเวลาประมาณ 4 เดือน พบว่า ในช่วงเวลาเดียวกับปีที่แล้ว จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ลดลงร้อยละ 53 โดยโดยพื้นที่เกษตร มีจุดความร้อนสะสมลดลง ร้อยละ 47 ในขณะที่เกษตรกร มีการสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา รวม 280 เครือข่าย มีการดำเนินการหลากหลายแนวทางในการจัดการเศษวัสดุตามความเหมาะสมสามารถสร้างรายได้เพิ่มแก่ชุมชนได้เป็นอย่างดี
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผาในพื้นที่การเกษตร และปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรมาทำการเกษตรแบบปลอดการเผา โดยการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเกษตรปลอดการเผา เพื่อเร่งรัด จัดการ และแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม นำร่องสาธิตการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตร มาตั้งแต่ ปี 2547 โดยแนวทางในการส่งเสริมจะเน้นสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงผลเสียจากการเผา แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา และนำเสนอทางเลือกในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร และสร้างเป็นเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผาเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนในพื้นที่ต่อไป
โดยทางเลือกที่นำเสนอให้เกษตรกรไม่เผา และจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์ เช่น การไถกลบตอซังฟางข้าว ใบอ้อย หรือเศษซากพืช เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน คืนชีวิตให้ดิน เพราะถ้าดินดี เกษตรกรก็จะได้รับผลผลิตสูง มีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มปุ๋ยในดิน ทำให้สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นการลดต้นทุนการผลิตได้อีกทางหนึ่ง การเผาตอซัง เป็นการทำลายอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน (N P K) คิดเป็นมูลค่า 217 บาทต่อไร่ รวมถึงส่งเสริมให้นำเศษตอซังฟางข้าว หรือเศษวัสดุการเกษตรอื่นๆ ที่เหลือทิ้งในแปลงเพาะปลูก มาทำปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักเพื่อใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ทำให้ลดต้นทุนการผลิต และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม นำเปลือกซังข้าวโพดหรือฟางมาทำวัสดุเพาะปลูก หรือการนำเศษวัสดุการเกษตรมาใช้เลี้ยงสัตว์ เช่น นำมาอัดก้อน หรือนำมาทำอาหารหมักเพื่อใช้เลี้ยงโค รวมไปถึงนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านพลังงาน เป็นพลังงานทดแทน หรือจะนำไปเพาะเห็ด ผลิตกระดาษ หรือของประดับก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังนำเศษใบไม้ เศษฟาง เศษหญ้า ที่แห้งมาคลุมบริเวณโคนต้นพืช หรือเรียกว่า การห่มดินเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์เก็บรักษาความชื้น “อุ้มน้ำอุ้มปุ๋ย”เมื่อย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเป็นปุ๋ยให้กับพืชเป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ ฯลฯ ช่วยพรวนดินและถ่ายมูลเป็นปุ๋ยให้กับพืชอีกด้วย
ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการ มีรายงานสรุปข้อมูลจุดความร้อนสะสม (Hotspot) ด้วยระบบดาวเทียม MODIS ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ Gistda ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 - วันที่ 22 เมษายน 2564 รวมระยะเวลาประมาณ 4 เดือน พบว่า ในช่วงเวลาเดียวกับปีที่ผ่านมาทุกพื้นที่ของประเทศมีจุดความร้อนสะสมลดลง ร้อยละ 53 โดยพื้นที่เกษตร มีจุดความร้อนสะสมลดลง ร้อยละ 47 นอกจากนี้ ในปี 2564 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผา รวม 280 เครือข่ายมีการดำเนินการหลากหลายแนวทางในการจัดการเศษวัสดุตามความเหมาะสมและบริบทของชุมชน ช่วยลดต้นทุนการผลิตและสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการจัดการเศษวัสดุยกตัวอย่าง ชุมชนต้นแบบปลอดการเผา ตำบลยางสักกระโพหลุ่ม อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ผลิตฟางอัดก้อนจำหน่าย ปริมาณ 80,000 ก้อน ขายราคา 30 บาทต่อก้อน เป็นเงิน 2,400,000 บาท หักต้นทุน 960,000 บาทแล้ว มีรายได้ 1,440,000 บาท และผลิตปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าวที่อัดไม่ได้ ต้นถั่วลิสง ซังข้าวโพด ปริมาณ 500 ตัน ขายราคา 4บาท/กิโลกรัม มีรายได้ เท่ากับ 200,000 บาท รวมทั้ง 2 กิจกรรม มีรายได้ เท่ากับ 1,640,000 บาท
“กรมส่งเสริมการเกษตร จะเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้แก่เกษตรกรให้รู้ถึงผลกระทบจากการเผา และนำเสนอทางเลือกที่ใช้ทดแทนการเผา ให้ครอบคลุมและขยายพื้นที่ดำเนินงานโครงการให้เพิ่มมากขึ้นตามงบประมาณที่ได้รับ รวมถึงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ด้วย และในระยะยั่งยืน ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรให้ตระหนักถึงผลเสียและปัญหาที่จะตามมาจากการเผา ทั้งในเรื่องการทำลายโครงสร้างดิน ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบท้ายสุดกับสุขภาพของตนเอง ครอบครัว ลูกหลาน ซึ่งจะทำให้เขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำการเกษตรแบบปลอดการเผาที่เกิดจากความตั้งใจของเกษตรกรเอง”อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี