การช่วยเหลือของแอปเตอร์ในประเทศเมียนมาอีกแบบหนึ่ง ที่คาดว่าจะมีปัญหา ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ คือ การที่ประเทศญี่ปุ่นส่งข้าวแบบกึ่งสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง ยังไม่เคยมีมาก่อนไปให้ ในลักษณะเก็บสำรองไว้ล่วงหน้าและนำออกช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยที่เรียกว่าระบบ Preposition ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วว่า ปีนี้ทางญี่ปุ่นและแอปเตอร์กำหนดเป้าหมายที่ 2 ประเทศ คือ เมียนมา และฟิลิปปินส์ ประเทศละ 2 ตัน และจากความวุ่นวายทางการเมืองในเมียนมา ทราบว่า ณ ปัจจุบัน (8 เมษายน) ข้าวกึ่งสำเร็จรูปที่ส่งทางเรือไปถึงท่าเรือย่างกุ้งแล้วนั้น ยังไม่มีการขนถ่ายขึ้นจากเรือเลย เรื่องของเรื่อง สาเหตุเท่าที่ทราบ คือ เกิดการหยุดงานของพนักงานท่าเรือ เลยไม่มีคนทำงานที่จะขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือได้ ทั้งๆ ที่สินค้าที่ขนขึ้นเรือมานั้นก็เป็นไปเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา มิวายต้องโดนหางเลขไปด้วย แต่ผมก็เชื่อว่า ด้วยการประสานงานอย่างแข็งขันของกระทรวงเกษตรฯ ของเขา คงอีกไม่กี่วันเรื่องก็คงจะเรียบร้อยครับ เพราะจริงๆแล้ว ตามข้อตกลง เอ็มโอยู ที่เซ็นไว้ระหว่างแอปเตอร์กับทางการเมียนมาระบุชัดว่า หากการขนถ่ายสินค้ามีปัญหาไม่สามารถทำได้ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว และเกิดความเสียหายขึ้น ผู้รับผิดชอบก็คือ กระทรวงเกษตรฯ ของเมียนมา เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของเขาต่างคงไม่สามารถจะนิ่งนอนใจอยู่ได้
พูดถึงประเทศเมียนมา เมื่อคิดถึงความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบัน ทำให้ผมรู้สึกเสียดายแทนมากเมื่อคิดเปรียบเทียบย้อนไปช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ที่ผมได้เคยเดินทางไปปฏิบัติงานในประเทศเขา จากเดิมแม้จะอยู่ใกล้เคียงกับประเทศไทยเรามาก แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเพิ่งเริ่มต้นไปเยี่ยมครั้งแรกสมัยยังรับราชการอยู่ในกรมการข้าว จนเมื่อมาเป็นผู้บริหารของสำนักงานแอปเตอร์ กลับมีโอกาสได้เดินทางไปเมียนมาเป็นว่าเล่น ปีละหลายๆ ครั้ง และก็ได้ไปแบบเจาะลึกถึงลูกถึงคนเกือบจะทุกพื้นที่ ผมเคยบอกแล้วว่ามีเพียง 3 รัฐใน 14 เขต/รัฐเท่านั้น ที่ผมยังไม่เคยไป คือ รัฐชิน รัฐคะยา และรัฐฉาน นอกนั้นไปมาหมดแล้ว (ความจริงรัฐฉาน หรือ ไทยใหญ่ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเคยไปมาแล้ว คือข้ามชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายไปเมืองท่าขี้เหล็ก ก็เป็นรัฐฉานแล้ว) ผมยอมรับว่ามีความประทับใจประเทศนี้มาก ทั้งสภาพภูมิประเทศ รวมทั้งอัธยาศัยของประชาชน และแม้ว่าจะมีทำเลที่ตั้งติดกับประเทศไทยเราแต่พบว่าเมียนมากลับมีความแตกต่างจากไทยเป็นอย่างมาก ผมพิเคราะห์เอาเองว่า สำหรับประเทศไทยนั้น เรามีความคล้ายคลึงมากกว่ากับเพื่อนบ้านเช่น สปป. ลาว และกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา วัฒนธรรม วิถีดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนแนวคิด ทัศนคติของคนในชาติ แต่สำหรับเมียนมา นอกจากความเหมือนกับไทย สปป.ลาว กัมพูชาตรงที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเดียวกัน และอดีตมีการเคี้ยวหมาก นุ่งโสร่งเหมือนกันแล้ว ผมว่าที่เหลืออื่นๆ ค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว
ถามว่าแล้วเมียนมาไปเหมือนใคร ผมว่าเหมือนกับอินเดียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินที่ชอบมีมันมาก การรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่เคยสลัดทิ้ง รวมทั้งรักหวงแหนสิทธิเสรีภาพตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย และอื่นๆ ที่ฟันธงอย่างนี้ เพราะเมียนมากับอินเดียมีเขตชายแดนใกล้ชิดติดกัน อีกทั้งสมัยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมียนมาถูกจัดให้เป็นเพียงรัฐหนึ่งที่ขึ้นกับอินเดีย ขณะที่ชายแดนเมียนมาที่ติดประเทศไทยทางทิศตะวันออกนั้นมีเทือกเขาตะนาวศรีกั้นขวางไปมาหากันลำบากมาก แถมกลุ่มคนที่อยู่อาศัยก็มิใช่คนเมียนมาแท้ๆ หากแต่เป็นพวกชาติพันธุ์กะเหรี่ยง คะยาไทยใหญ่ และมอญครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี