เกษตรกรพริกเขียวมัน 3 อำเภอในนครศรีธรรมราช เดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังถูกหลอกซื้อผลผลิตไปกว่า 60 ตัน มูลค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท ผู้เดือดร้อนพากันทยอยเข้าแจ้งความอย่างต่อเนื่อง เพื่อเอาผิดกลุ่มขบวนการต้มตุ๋น
4 มิถุนายน 2564 ความคืบหน้า กรณีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพริกเขียวมัน ลุ่มน้ำปากพนัง จาก 3 อำเภอ ประกอบด้วย อ.หัวไทร อ.เฉลิมพระเกียรติ และ อ.เชียรใหญ่ กว่า 20 คน เข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านศูนย์ดำรงธรรม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ขอให้ทางจังหวัดช่วยเร่งรัดติดตามการซื้อขายพริกเขียวมัน จากผู้ประกอบการที่รับซื้อไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 2 ล้านบาท
ล่าสุด นายชาตรี เพชรแก้ว ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ในฐานะตัวแทนเกษตรกร เปิดเผยว่า กลุ่มเกษตรกรได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับแก๊งรับซื้อพริกเขียวมันทั้งหมดแล้ว ที่ สภ.หัวไทร เพื่อลงบันทึกประจำวัน พร้อมแจ้งความเอาผิดกับ ต่อ ร.ต.อ อุดม ภู่ภิรมย์ พนักงานสอบสวน สภ.หัวไทร
'ขบวนการนี้โกงเกษตรกร โกงราชการ หลอกกันไปหลอกกันมา เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งไม่น่าจะมาเกิดขึ้นกับเกษตรกรที่หาเช้ากินเช้า ไม่ใช่หาเช้ากินค่ำ ทุกคนต่างได้รับความเดือดร้อน มีหน่วยงานมาช่วยแก้ปัญหาเราก็ดีใจ ช่วยคนละนิดละหน่อยเราก็พอใจ แต่มีกลุ่มคนที่มองเห็นผลประโยชน์อยู่บนคราบความเดือดร้อนของเกษตรกร รีดเลือดปู'
นายชาตรี ยังเปิดเผยข้อมูลจากตัวบุคคลที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมีนางทา (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) เป็นผู้เข้ามาตั้งจุดรับซื้อพริกเขียวมันจากเกษตรกร ที่สหกรณ์การเกษตรหัวไทร ตั้งแต่กระบวนการชั่งกิโล เขียนใบเสร็จลงน้ำหนัก ระบุเลขรับ/เล่มชัดเจน พร้อมกับบันทึกเลขบัญชีของเกษตรกรไว้ในใบเสร็จทุกครั้ง เพื่อไว้โอนเงิน จนไปถึงกระบวนการรับ-ส่งสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ในนาม ‘บริษัท คาบสมุทร’ ของนายนรินทร์ ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งนางทาอ้างว่ามีหน้าที่และรู้เพียงเท่านั้น เรื่องการเบิกจ่ายเงินไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่เกี่ยวข้องเช่นกัน
'วันนี้ พวกเรารู้ตัวขบวนการหลอกชาวบ้านแล้ว ส่วนจะมีนักการเมืองระดับชาติเข้ามาเอี่ยวด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องออกมาชี้แจงให้ชาวบ้านได้รับทราบกัน เนื่องจากนางทาอ้างว่ามาชั่งพริกของนักการเมืองระดับชาติในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ซึ่งเท่ากับหัวเรื่องคือนักการเมือง ส่งต่อไปให้นายนรินทร์ ส่งพริกขายต่อไปยังประเทศมาเลเซีย แต่ก่อนนำพริกส่งออก จะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการให้เรียบร้อย ก่อนไปส่งยังต่างประเทศ แล้วเงินหายไปไหน นักการเมืองเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้อย่างไร'
นายชาตรี กล่าวอีกว่า ผู้เสียหายทุกคนต้องการแค่ทวงเงินค่าขายพริก ใน กก.ละ 14 บาท คืนเท่านั้น ส่วนเรื่องเงินอุดหนุนช่วยเหลือเกษตรกร ที่กระทรวงพาณิชย์รับปากไว้ว่า จะมอบให้ในราคา กก.ละ 5 บาท ยังไม่ขอพูดถึง เพราะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ซึ่งมีคำพูดกล่าวอ้างมาจากนักการเมือง ถึงผู้ที่ยังไม่ลงทะเบียนว่า ‘ไม่เป็นไรค่อยขึ้นทีหลังก็ได้‘ อาจเป็นช่องทางให้มีกลุ่มคนหัวใสคิดหลอกเกษตรกร มารับเงินชดเชยจากพาณิชย์ก็เป็นได้
ซึ่งกลุ่มเกษตรกรที่เดือดร้อน ได้เข้าแจ้งความเอาผิดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด โดยนำหลักฐานพร้อมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ เพื่อการติดตามตัวบุคคลคนที่ร่วมอยู่ในขบวนการมาสอบสวนดำเนินคดี และนำเงินมาคืนให้เกษตรกรให้โดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังกระแสข่าวความเดือดร้อนถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบเดียวกัน เริ่มทยอยเข้าให้ข้อมูลและแจ้งความเอาผิดกันอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หลังจากตัวแทนเกษตรกรเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ ในวันถัดมา ได้มีหนังสือออกมา 1 ฉบับ ไม่ระบุเจ้าภาพ ซึ่งคาดว่าส่งถึงเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เข้ามารับฟังการชี้แจงถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ตามหัวข้อเรื่องที่ระบุไว้ ‘การชี้แจงการชำระเงินในการรับซื้อพริกจากผู้รับซื้อ‘ ในวันจันทร์ที่ 7 มิ.ย.64 เวลา 13.00 น. สถานที่ ห้องประชุมสหกรณ์หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พร้อมรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งประกอบด้วย คนแรก ดร.สัณหพจน์ สุขศรีเมือง ตามด้วยเจ้าของสถานที่ นายเอกณัฐ สุทธิชล ผจก.สหกรณ์หัวไทร จำกัด พร้อมประธานสหกรณ์ รวมถึงรายชื่อของผู้ประกอบการที่เข้ามาตั้งจุดรับซื้อพริกตามจุดต่างๆ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบราคาพริกเขียวมันในตลาดพืชผล พบว่า ขายเพียง กก.ละ 7-10 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตอยู่ที่กิโลกรัมละ 8-10 บาท ส่งผลให้เกษตรกร 6 อำเภอ ได้แก่ อ.หัวไทร ปากพนัง เฉลิมพระเกียรติ เชียรใหญ่ ชะอวด และ อ.เมือง ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ผลผลิตส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังมาเลเซียเป็นหลัก แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้า จึงชะลอการสั่งซื้อ ส่งผลให้มีพริกตกค้างอยู่ในสวนของเกษตรกรจำนวนมาก
เฉพาะใน จ.นครศรีธรรมราช ปีนี้ มีพื้นที่ปลูกพริกเขียวมัน ประมาณ 7,800 ไร่ เกษตรกร 2,122 ราย ผลผลิตประมาณ 20,163 ตัน เฉพาะ อ.หัวไทร มีเกษตรกรทั้ง 11 ตำบล ประมาณ 1,050 ครัวเรือน พื้นที่เพาะปลูก 3,675 ไร่ ผลผลิตประมาณ 10,046 ตัน ผลผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน แต่มีปริมาณมากสุดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม
และล่าสุดได้มีความเคลื่อนจากนักการเมืองที่ถูกอ้างถึง คือ ดร.สัณหพจน์ สุขศรีเมือง รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ ส.ส.นครศรีธรรมราช ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงกรณีดังกล่าวโดยสรุปว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการค้าภายใน ผู้รับซื้อ เกษตรกร จุดรับซื้อต่าง ๆ พ่อค้าคนกลาง ผู้ประสานงาน พาณิชย์ ฯลฯ จะไม่ไปโทษใคร แต่จะพยายามจัดการปัญหาในส่วนที่จะสามารถแก้ไขได้ ขอให้เกษตรกรใจเย็น ๆ แล้วทุกคนจะได้เห็นความจริง ในวันที่ 7 มิ.ย.64 ณ สหกรณ์การเกษตรหัวไทร จำกัด อ.หัวไทร เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป ซึ่งเริ่มต้นจากความตั้งใจจริงที่จะช่วยแก้ปัญหาให้พี่น้องเกษตรกร จนนำไปสู่ “เกมส์การเมือง” ของบางพรรค ซึ่งนิยมเคลมผลงานของพรรคอื่น และคอยซ้ำเติม เมื่อผิดพลาดบางจุด แต่ไม่เคยซักครั้งที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี