“การศึกษา” เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจาก “สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19” มาตั้งแต่การระบาดระลอกแรกในช่วงต้นปี 2563 เมื่อสถานศึกษาทุกระดับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกสั่งปิดเพื่อควบคุมไม่ให้โรคระบาดเป็นวงกว้าง นักเรียน-นักศึกษาต้องย้ายไป “เรียนออนไลน์” กลายเป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวที่มีและไม่มีความพร้อมที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านหน้าสื่ออยู่เนืองๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “เปิดเทอมใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม : สอนอย่างไร เรียนแค่ไหนเมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง” โดยมีวิทยากรหลายท่านร่วมให้มุมมอง อาทิภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่กล่าวว่า โรงเรียนในไทยมีความแตกต่างในการเข้าถึงอินเตอร์เนตค่อนข้างมาก
เพราะฉะนั้นเด็กไทยที่อยู่ในโรงเรียนยากจนหรือในชนบท เมื่อใช้อินเตอร์เนตเพื่อเรียนออนไลน์จะเป็นเรื่องยาก โดยผลสำรวจนักเรียนทุนเสมอภาค กสศ. พบว่าน้อยกว่าร้อยละ 10 ที่จะมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตที่บ้าน จึงทำให้การเรียนการสอนแบบออนไลน์ในกลุ่มเด็กยากจนเป็นแนวทางที่ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามปัญหาการเรียนการสอนในช่วงโควิด-19ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะในประเทศไทย
อาทิ อินเดีย ในช่วงโควิดรอบแรกจะมีโครงการที่ดำเนินการโดยองค์กร “Phatam” ที่เน้นเรื่องการช่วยเหลือเด็กในการเรียนการสอน โดยจะมีการส่งข้อความสั้น (SMS) แก่ผู้ปกครองในการแนะนำแนวทางการดูแลนักเรียน นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครในหมู่บ้านสอนบทเรียนให้กับนักเรียนที่เรียนตามไม่ทัน ในระดับที่เหมาะสมกับความรู้ของผู้เรียน (Teach at the Right Level) โดยยึดถือการทำงานแบบเพื่อนช่วยเพื่อน-พี่ช่วยน้อง
หรือที่ บังกลาเทศ มีองค์กร “BRAC” โดยใช้อาสาสมัครในชุมชนสอนบทเรียนเช่นกัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนตและไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่จะใช้การสื่อสารทางโทรศัพท์ จึงทำให้การช่วยเหลือจะเป็นการโทรศัพท์ไปคุยเพื่อให้กำลังใจสนับสนุนผู้ดูแลและพ่อแม่ของเด็กทุกสัปดาห์ ซึ่งอาสาสมัครเหล่านี้จะได้รับการอบรมอย่างมีระบบ และยังมีหลักสูตร “Playful Learning” โดยนำผู้หญิงในชุมชนมาอบรมให้มีความพร้อมในการสื่อสารและสอนเด็กในช่วงที่ยังไม่สามารถไปโรงเรียนได้
โดยมีวิธีการสอนแบ่งตามช่วงอายุวัยที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางร่างกาย สติปัญญา ภาษา ทักษะทางอารมณ์และสังคมแก่เด็ก นอกจากนี้มีการให้ครูสอนผ่านทางโทรศัพท์ โดยสอนกับนักเรียนกลุ่มละ 3-4 คน และมีพ่อแม่ฟังด้วย ซึ่งจะเน้นโทรศัพท์อย่างเดียว เพราะเข้าถึงอินเตอร์เนตได้ยาก ซึ่งวิธีการที่อินเดียและบังกลาเทศใช้สามารถนำมาเป็นแนวทางให้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากมีกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เนตได้เหมือนกัน
“การบริหารจัดการในประเทศฝั่งตะวันตกอย่างประเทศอิตาลีและแคนาดาก็น่าสนใจเช่นกัน โดยจะเน้นการซ่อมเสริมความรู้ที่หายไป ผ่านการเรียนเสริมโดยครูหรืออาสาสมัครที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่ได้รับการอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาสในช่วงโควิด-19 โดยใช้เวลาสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนได้ทัน ทั้งหมดนี้เห็นได้ว่าแต่ละประเทศทั้งประเทศด้อยพัฒนาและประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จะมีวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลายแนวทาง ซึ่งไทยสามารถนำแนวทางเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน และพื้นที่ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันไป” ภูมิศรัณย์ กล่าว
เช่นเดียวกับ ไกรยส ภัทราวาทรองผู้จัดการ กสศ. เปิดเผยว่า ข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ “iSEE” ช่วยทำให้เห็นภาพจริงในปัจจุบันของเด็กยากจนด้อยโอกาสที่ครัวเรือนมีรายได้น้อยที่สุด ร้อยละ 20 ของประเทศ โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลของ กสศ. พบว่าประชากรผู้มีรายได้น้อยเหล่านี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีบริบทความยากลำบากที่หลากหลาย ซึ่งจำเป็นที่รัฐต้องมีมาตรการหลากหลายและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในภาวะวิกฤติโควิด-19 มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
“ปัจจุบันมีสถานศึกษามากถึง510 แห่งที่มีนักเรียนยากจนพิเศษ 100% ทั้งโรงเรียน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอนนราธิวาส ปัตตานี ยะลา ตาก นอกจากนั้นข้อมูลระบบ iSEE ยังชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยังมีสถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล (Stand Alone) มากกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ที่ยังต้องการการพัฒนาและการลงทุนในโครงสร้างพื้นที่หลายด้าน เพื่อให้พร้อมจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2564
ในปีการศึกษา 2563 ยังมีพื้นที่กว่า 78 ตำบล ที่ไม่มีโรงเรียนอยู่ในตำบลแล้ว ทั้งที่ในท้องถิ่นเหล่านี้ยังมีเด็กวัยเรียน 4,580 คน ที่ต้องข้ามตำบลไปเรียน และบางคนที่ยังอยู่นอกระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันยังมีเด็กวัยการศึกษาภาคบังคับ(6-14 ปี) มากกว่า 4 แสนคน ที่ยังไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบการศึกษา” รองผู้จัดการ กสศ. ระบุ
ไกรยส กล่าวต่อไปว่า จากการสำรวจสภาพความพร้อมเรียนรู้ที่บ้านในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ในปี 2564 ยังพบความแตกต่างระหว่าง “นักเรียนในครอบครัวฐานะดี” ที่สามารถเข้าถึงโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ทโฟนในพื้นที่เรียนรู้แบบส่วนตัว มากถึงร้อยละ 90 ในขณะที่ “นักเรียนในครอบครัวยากลำบากที่สุด” มีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
โดยบทเรียนจากการทำงานของ กสศ. ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า ข้อมูลถือเป็นเครื่องมือในการทำงานเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่มีศักยภาพสูง การมีข้อมูลช่วยให้มองเห็นสถานการณ์จริงพื้นที่ ได้ยินเสียงจากในพื้นที่ และทำให้ช่วยเหลือตรงจุด อีกทั้งการมีข้อมูลยังสามารถแชร์ข้อมูลเหล่านี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำการศึกษาไปสู่ตัวผู้เรียนและสุดท้ายการมีข้อมูลจะเชื่อมโยงไปสู่นโยบายที่มาจากปัญหาหน้างาน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรามีการศึกษาที่เสมอภาคได้ในอนาคต
ด้าน พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยด้านการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ทำให้การจัดการศึกษามีความเหลื่อมล้ำในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนหนึ่งคือ “เวลา” เนื่องจากโรงเรียนเปิดเรียนไม่ได้ตามกำหนด การจัดการเรียนการสอนทำตามปกติไม่ได้ ยิ่งตอกย้ำให้บางโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมในการจัดการศึกษาต้องลดเวลาเรียนลง เด็กจึงเข้าถึงหลักสูตรได้ไม่ครบถ้วน ซึ่งค่าเฉลี่ยของปีการศึกษาที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ต้องลดเวลาเรียนจาก 200 วัน เหลือราว180 วัน หายไปประมาณร้อยละ 10
และจากบทเรียนในการจัดการศึกษาแบบ “4อ” คือ ออนไลน์ (เรียนทางอินเตอร์เนต) ออนแอร์ (สอนผ่าน DLTV) ออนแฮนด์ (ให้ครูเดินทางไปแจกใบงานในพื้นที่) และออนไซต์ คือให้เด็กสลับวันเข้ามาเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ พบว่ายังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีความพร้อมจะรับผลกระทบมากที่สุด นั่นทำให้เห็นว่าหากแก้ปัญหาเพียงเฉพาะหน้าโดยไม่เปลี่ยนวิธีการสอน เวลาที่มีอยู่จะไม่พอกับการเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมด
ดังนั้นการจัดการศึกษานอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตามสถานการณ์ยังต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ เพื่อผลการศึกษาในระยะยาว หมายถึงการเรียนในภาวะวิกฤติที่เด็กจะยังได้ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นรอบด้าน คือ ต้องมีการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ใช้เวลาเรียนน้อยลง และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่นอกโรงเรียนได้เต็มที่อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังจะเปิดเทอมใหม่ มาตรการระยะสั้นคือ “ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา” ให้เร็วที่สุดก่อนเปิดเรียน โดยเริ่มจากพื้นที่สีแดงเข้มก่อน
“ประเด็นหนึ่งคือ ต้องสร้างความมั่นใจในเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน เช่น คำแนะนำทางการแพทย์ในการประเมินความเสี่ยงของแต่ละคนก่อนการรับวัคซีน และต้องมีมาตรการชดเชยกรณีที่เกิดการแพ้วัคซีนร่วมด้วย เชื่อว่าถ้ามาตรการเหล่านี้สื่อสารไปถึงทุกโรงเรียนได้ชัดเจน ก็จะทำให้ครูมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น”นักวิจัยด้านการศึกษา TDRI ให้ความเห็น
จากข้อมูลวิชาการสู่มุมมองระดับพื้นที่ ธันยวิช วิเชียรพันธ์ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและวิทยบริการมหาวิทยาลัยศรีปทุม (วิทยาเขตชลบุรี) กล่าวว่า การจัดการศึกษาในช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงไปจากวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปทำให้คนเดินทางน้อยลง สื่อสารกันลดลง การวัดผลการศึกษาที่จากเดิมที่เน้นเรื่องศักยภาพในการแข่งขันเพื่อเข้าสู่สถานประกอบการขนาดใหญ่ข้ามชาติ จะเปลี่ยนเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่ทำแบรนด์ท้องถิ่น เน้นการสร้างอาชีพใหม่ๆ ด้วยตัวเอง
“ผลที่ตามมาคือความคาดหวังเรื่องผลลัพธ์ทางการศึกษาจะมุ่งเน้นที่เรื่องความคิด ทักษะการทำงาน ทักษะชีวิต ทักษะสังคม และการเป็นนักเรียนรู้เชิงรุกตลอดชีวิต ซึ่งจะต้องไม่ยึดโยงกับโรงเรียน และกระบวนการเรียนรู้จะไม่เป็นรายวิชาอีกต่อไป แต่จะเป็นหน่วยการเรียนรู้ที่บูรณาการสาระวิชาต่างๆ ลงไป โรงเรียนจะลดความสำคัญลง การเรียนตามอัธยาศัยหรือการศึกษาทางไกลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ การเรียนจะพึ่งพิงกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ปัญหา สำหรับบทบาทของครูก็จะเปลี่ยนเป็นผู้แนะนำและประสานงานแทน”ธันยวิช กล่าว
สยาม เรืองสุขใสย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนล่องแพวิทยา จ.แม่ฮ่องสอนเสนอแนะว่า อยากให้หน่วยงานต้นสังกัดพิจารณาปลดล็อก ทั้งระเบียบการจัดซื้อหนังสือ เพื่อให้สามารถใช้นำมาจัดทำแบบฝึกให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษา รวมถึงการออกแบบการเรียนรู้ที่มีการวัดผลต่างออกไป เน้นการวัดผลตามสภาพจริงไม่ได้ยึดตามตัวชี้วัดแต่ยึดสาระที่คิดว่าสำคัญ ดูจากสภาพจริง ชิ้นงาน พัฒนาการผู้เรียน รวมถึงการเปิด-ปิดสถานศึกษาตามความพร้อม หากที่ใดพร้อมก็ให้เปิดได้ ซึ่งจะดีกว่าเรียนอยู่ที่บ้าน เรียนได้เต็มที่ภายใต้มาตรการควบคุมโรคระบาด รวมทั้งอยากให้มีการสนับสนุนเรื่องเจลล้างมือ หน้ากากอนามัย และค่าใช้จ่ายเช่นเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ให้กับบุคลากรที่ต้องลงพื้นที่
เฉลียว เถื่อนเภา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ทางโรงเรียนใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบหย่อมบ้าน แบ่งออกเป็น 7 หย่อม ใช้พื้นที่ศาลาวัดพุทธ โบสถ์คริสต์ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงหมู่บ้าน เพื่อแยกนักเรียนไม่ให้มารวมตัวกันมากเกินไปเพื่อความเสี่ยงโรคระบาด มีการประสานความร่วมมือกับทั้งผู้นำชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) นายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ผู้นำศาสนา พร้อมทั้งมีครูอาสา ที่เป็นทั้ง ศิษย์เก่า ปราชญ์ชาวบ้าน คนในท้องถิ่น มาช่วยสอนเด็กๆ บางส่วนมีค่าตอบแทน บางส่วนไม่มีค่าตอบแทน เกิดการเชื่อมโยงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เกิดการต่อยอด เรียนรู้จากแหล่งเรียนในชุมชน
ประหยัด อุสาห์รัมย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยนกกก จ.ตาก กล่าวว่า สำหรับวันเปิดเทอมที่กำลังจะมาถึง ทางโรงเรียนได้มีมาตรการเตรียมพร้อมโดยให้ครูทุกคนกักตัว 14 วันส่วนนักเรียนให้กักตัวอยู่ที่บ้าน และผู้นำชุมชนทุกแห่งต้องรู้และสามารถประเมินภาวะความเสี่ยงในพื้นที่ โดยแจ้งข้อมูลบุคลลเข้าออกหมู่บ้านให้ทางโรงเรียนทราบ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะสามารถเปิดเรียนได้ในรูปแบบใด หากยังเปิดเรียนเต็มรูปแบบไม่ได้ การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีครูเคลื่อนที่ การสอนแบบเว้นระยะห่างที่โรงเรียน และระบบพี่ครูก็จะนำมาใช้ต่อไป
ปิดท้ายด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการระบาดระลอกล่าสุด ตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ระบุว่า 1.นำบทเรียนที่มีในช่วงแรกมาประยุกต์ใช้ เช่น การจัดการศึกษาในพื้นที่ห่างไกลมีความแตกต่างกับในกรุเทพฯ ต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ 2.การบริหารจัดการศึกษาที่ใช้การสั่งการไม่ประสบความสำเร็จ จึงควรกำหนดนโยบายจากล่างขึ้นบน หมายถึงสถานศึกษาเป็นตัวกำหนดรูปแบบและกระบวนการจัดการศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบตามแผนและสนับสนุนแผนที่โรงเรียนในแต่ละพื้นที่กำหนด
3.การปิดโรงเรียนจะต้องกลับไปทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้นในระลอกแรกและระลอกสอง เช่น ปัญหาในการสอนออนไลน์ เป็นต้น 4.ทักษะบางอย่างไม่สามารถสอนออนไลน์ได้ เช่น ทักษะด้านดนตรี กีฬา และศิลปะ จึงต้องถอดบทเรียนว่าแต่ละพื้นที่สอนกันอย่างไร 5.นักเรียนที่เรียนในช่วงโควิดระลอกล่าสุดจะต้องปิดเทอมอีกนาน ดังนั้นกระบวนการในการพัฒนาผู้เรียนตามทฤษฎีว่าด้วยการจัดการศึกษา
คือ พัฒนากาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของผู้เรียนจะมีปัญหา โดยเฉพาะเด็กเล็ก จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการกระจายนักเรียนไปเรียนในโรงเรียนที่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องหยุดการเรียนการสอน และ 6.บทบาทของกระทรวงศึกษาธิการจะต้องถูกปรับใหม่ ซึ่งไม่ควรจะสั่งการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างแรงจูงใจให้กับครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี