ผมพยายามเอาเรื่องของญี่ปุ่นมาเล่าให้มาก เนื่องจากต้องการที่จะนำบางแง่มุมที่มีประโยชน์มาโน้มน้าวชักชวนให้คนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการไทยผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาประเทศและสังคมไทยได้เรียนรู้และคัดเลือกนำเอาสิ่งที่ดีๆ มาใคร่ครวญคิดคำนึง พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติงาน ความจริงในชีวิตของผมมีความโชคดีอยู่อย่าง คือ ได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยครั้งมาก ตั้งแต่ช่วงต้นรับราชการ เพราะเคยสอบชิงทุนไปเรียนและไปฝึกอบรมต่างประเทศอยู่เสมอๆ ได้พบเห็นวิธีคิด วิธีทำงานของคนในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ หรือประเทศที่ทรัพยากรมนุษย์มีความพิเศษอย่างยิ่ง เช่น อิสราเอล (ผมเคยไปฝึกอบรมเกี่ยวกับการวางแผนพัฒนา ประมาณ 3 เดือน) รวมทั้งประเทศที่มีการพัฒนาพอๆ กับบ้านเรา เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งโดยสรุปได้มีโอกาสเรียนรู้ว่า การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีความก้าวหน้าหรือล้มเหลวในการพัฒนา ขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของปัจจัยหลัก3 ประการ คือ (1) ทรัพยากรธรรมชาติ หรือ natural resource (2) ทรัพยากรทุน หรือ capital resource และ (3) ทรัพยากรมนุษย์ หรือ human resource หมายถึงถ้าประเทศใดมีปัจจัยทั้ง 3 อย่างนี้ ก็ถือว่าโชคดีมาก มีต้นทุนแห่งการพัฒนาอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ประเทศก็จะมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปอย่างโชติช่วงชัชวาล
แต่ในสภาพความเป็นจริงก็หาไม่ง่ายที่ประเทศในโลกนี้จะโชคดี มีครบทั้ง3 ประการ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่า การขาดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งจะส่งผลร้ายไม่ให้เกิดการพัฒนาได้อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ในประเทศอิสราเอลปัจจุบัน สิ่งที่ขาดแคลนคือ ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ดินเป็นหินเป็นทะเลทราย ฝนแล้ง หรือในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเกาะกลางทะเลและเกิดภัยธรรมชาติตลอดเวลา แต่ในทางตรงกันข้าม ทั้งสองประเทศกลับมีทรัพยากรมนุษย์ที่สุดยอด สามารถดลบันดาลสร้างทรัพยากรทุนแล้วนำไปจัดหาหรือสร้างเสริมทรัพยากรธรรมชาติ จนนำพาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าได้อย่างอัศจรรย์
ตัวชี้วัด หรือ ปัจจัยทั้ง 3 ประการที่กล่าวมาข้างต้น อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ทราบถึงว่าประเทศใดขาดแคลนทรัพยากรประเภทใด ตอนที่ผมซึ่งยังหนุ่มๆ อยู่ ไปฝึกอบรมอยู่ที่กรุงเยรูซาเลม ประเทศอิสราเอลนั้น อาจารย์ผู้บรรยายชาวยิวท่านหนึ่ง ที่คงสันทัดเรื่องวัวนมและเคยมาเมืองไทย บอกกับผมระหว่างการบรรยายวิชาหนึ่งว่า ไอไปเมืองไทยแล้วรู้สึกอิจฉายูจริงๆ ท่านเล่าว่าเคยไปดูงานแถวๆ ปากช่อง กลางดง พบว่ามีทำเลพื้นที่และภูมิอากาศ (ทรัพยากรธรรมชาติ) เหมาะสมแก่การเลี้ยงวัวนมมาก ส่วนเงินลงทุน (ทรัพยากรทุน) นั้น ก็ทราบว่าประเทศไทยก็เป็นแหล่งที่ต่างชาติเอาเงินมาลงทุนทางการค้าพาณิชย์และอุตสาหกรรมจนเงินล้นธนาคารมากมายมหาศาล แต่ท่านกลับฉงนว่าทำไมประเทศไทยจึงยังต้องมีการสั่งนำเข้านมผงจากต่างประเทศอีก ปีละมูลค่ามหาศาล แทนที่จะผลิตส่งออกนำเงินตราเข้าประเทศ อาจารย์ผู้บรรยายแกพูดไว้แค่นั้นแหละ แต่ผมซึ่งตอนหนุ่มก็พอจะหัวไวอยู่บ้าง ก็เดาในใจได้ว่า ก็ในเมื่อปัจจัย 2 ประการ ประเทศไทยเรามีอยู่อย่างสมบูรณ์ ปัญหาที่ขาดมันก็คงคือปัจจัยอีก 1 อย่างที่เหลืออยู่นั่นแหละ ที่ประเทศไทยเรายังแย่ๆ อยู่ ไม่ต้องเขียนบอกนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมเป็นกลุ่มคนพวก “ชังชาติ” ฉบับนี้อาจไกลจากกิจกรรมแอปเตอร์ไปบ้าง แต่ผมก็เชื่อว่า คงจะสร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี