ความเดือดร้อนเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 มีผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหารในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอาเซียนที่ยังยากจนอยู่ ประชาชนอดยาก หาเช้ากินค่ำ เมื่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมล้มเหลว ก็ยิ่งต้องผจญกับปัญหาขาดแคลนรายได้ที่จะนำไปจับจ่ายใช้สอยอาหารประทังชีวิต จนในที่สุดก็ต้องร้องขอให้แอปเตอร์ช่วยเหลือ ถึงตอนนี้ ก็ต้องชมเชยวิสัยทัศน์ของอาเซียน และประเทศบวกสาม ที่ดำริให้มีการจัดตั้งแอปเตอร์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเน้นเฉพาะการช่วยเหลือข้าวบริโภค เพราะเป็นพืชอาหารหลักของคนชาวเอเชีย ถึงตรงนี้ ก็เป็นการพิสูจน์ว่า การที่บางสมาชิกเสนอให้มีการสำรองอาหารชนิดอื่นเพิ่มเข้ามาด้วย เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง และอ้อยน้ำตาล นั้น อาจยังไม่ถึงเวลาเนื่องจากไม่จำเป็นเท่ากับข้าว และที่ผ่านมานับสิบปีก็ยังไม่ปรากฏว่ามีการร้องขอสินค้าเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลน นอกเสียจากข้าวสารที่สมาชิกแอปเตอร์ร้องขอความช่วยเหลือกันอยู่เป็นประจำครับ
ประเทศที่เดือดร้อนมากในช่วงนี้ คือ กัมพูชา เพื่อนบ้านใกล้ๆ เรานี่เอง ที่มีคนติดเชื้อโควิดและอดอยากอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงพนมเปญ ใจกลางของประเทศ ซึ่งที่กรุงพนมเปญจำเป็นต้องมีการประกาศล็อกดาวน์และกำหนดพื้นที่สีแดงกันหลายจุด ผู้คนไม่สามารถจะเดินทางออกนอกบ้านที่อยู่อาศัยได้ ตามข่าวบอกว่าช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์ ปกติเคยมีรายได้ในการบริการซ่อมรถวันละประมาณ 360 บาท แต่ปัจจุบันไม่มีรายได้เลย รวมถึงพวกคนงานรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องหยุดงาน ขาดรายได้ และก็ยังมีอีกหลายกรณีที่เล่าถึงความยากลำบากของประชาชนในยามวิกฤติเช่นนี้ น่าเห็นใจมาก
ปกติตั้งแต่ได้มาทำงานที่แอปเตอร์ช่วง 3-4 ปีก่อน ผมและคณะเจ้าหน้าที่ได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศกัมพูชาบ่อยมาก เคยนั่งรถยนต์จากทิศตะวันออกข้ามไปยังชายแดนทิศตะวันตกที่ติดกับเขตแดนประเทศไทยอยู่หลายครั้ง พบว่า กัมพูชากับไทยแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย การที่พวกเขาเดือดร้อน ก็ทำให้เราชาวแอปเตอร์ต้องใช้ความพยายามในการเจรจามากขึ้น และตอนนี้ท่านอธิบดีกรมการเกษตรได้ขอการสนับสนุนข้าวจากแอปเตอร์เพิ่มเติมอีก 300 ตัน หลังจากที่แอปเตอร์ได้ระบายข้าว 78 ตัน บริจาคโดยญี่ปุ่นไปช่วยชาวกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปแล้ว สำหรับประเทศที่เราหวังว่าจะช่วยได้ คงไม่พ้นสมาชิกผู้มั่งคั่ง อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทำหนังสือเวียนออกไปแล้ว รอทางเขาตอบมาว่าจะช่วยได้ไหม พร้อมกับมีการเจรจาเป็นภายในกับประเทศเหล่านี้ด้วยอีกทาง
อย่างไรก็ดี ในเรื่องการสำรองข้าวจริงนี้ ผมเคยมีไอเดียอยู่ ซึ่งตรงกับที่ เอดีบี หรือธนาคารเพื่อพัฒนาแห่งเอเชีย ที่เคยศึกษาไว้ ว่าควรจะมีการนำข้าวมาเก็บสำรองไว้ล่วงหน้าก่อนเลย และเมื่อเกิดภัยพิบัติและมีการร้องขอ ก็จะได้นำข้าวที่เก็บไว้นั้น ส่งไปช่วยเหลือได้ทันที โดยศึกษาดังกล่าวบอกว่าประเทศไทยเรานี่แหละเหมาะสมที่สุดที่จะตั้งคลังสำรองข้าว เพราะเป็นศูนย์กลางที่จะสามารถส่งข้าวไปช่วยประเทศสมาชิกที่ใกล้เคียง เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม รวมทั้งมาเลเซีย ได้อย่างสะดวก ถือว่าประเทศไทยจุดสำรองหลักในเขตแผ่นดิน ส่วนอีกสองจุดสำรองย่อยที่ควรมีคลังสำรอง คือ ที่ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมเป็นทั้งหมด 3 จุดข้อเสนอที่ดีอันนี้ ก็รอการสนองตอบจากประเทศสมาชิกอยู่ จะเกิดหรือไม่เกิดก็คงต้องรอดูกันอีกสักระยะหนึ่ง แต่เท่าที่นำเสนอไปแล้วก็ยังไม่มีสมาชิกขยับกันเท่าใดนักครับ
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี