แนวคิดเรื่องการจัดหาสถานที่เก็บสำรองข้าวฉุกเฉินที่ผมกล่าวมาในตอนที่แล้ว ซึ่งศึกษาโดยธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ เอดีบี สมาชิกหลายฝ่ายดูจะไม่ค่อยสนองตอบเท่าไหร่ ทั้งที่น่าจะเกิดประโยชน์มาก เนื่องจากมีการสำรองข้าวจริงเก็บไว้ตลอดเวลา และสามารถนำออกไปช่วยกรณีเกิดภัยธรรมชาติจนเกิดการขาดแคลนขึ้น แต่ทว่าจะว่าไปแล้ว ระบบนี้ก็แทบจะไม่ต่างจากระบบเดิมของแอปเตอร์ที่ออกแบบไว้แล้ว คือ ระบบ Preposition ที่มีการเอาข้าวไปเก็บรักษาไว้ในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง และยื่นขอเสนอเป็นเจ้าภาพในการเก็บรักษา ซึ่งมีเป็นประจำอยู่ทุกปีอยู่แล้ว ประกอบกับ หากนำเอาระบบใหม่ที่กล่าวมาใช้ ตัวอย่างเช่น มีการจัดตั้งฉางเก็บสำรองข้าวในประเทศไทย สิ่งที่จะตามมา คือ ค่าใช้จ่ายในการเช่าหรือก่อสร้าง การจัดเก็บ การดูแลรักษา การขนส่ง รวมทั้งค่าประกันภัย และค่าอื่นๆ อีกมาก รวมทั้งภาระหน้าที่ของสำนักเลขานุการแอปเตอร์ก็จะเพิ่มขึ้น คือ ต้องไปดูแลรักษาข้าวที่เก็บไว้เป็นประจำอีก ดังนั้น ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะของ เอดีบี จึงไม่ค่อยมีสมาชิกให้ความสนใจมากนัก ผมเองในฐานะผู้ปฏิบัติตามนโยบายและมติของแอปเตอร์ ก็ไม่มีความเห็นอะไร แล้วแต่คณะมนตรีแอปเตอร์จะตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอา พวกเราพร้อมเสมอ
ที่พูดมาทั้งหมดข้างต้น เป็นเรื่องของ เทียร์ 3 คือ การช่วยเหลือแบบให้เปล่า ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ถือเป็นกิจกรรมหลักของแอปเตอร์ที่ดำเนินการอยู่ แต่ในความเป็นจริง อย่างที่ผมพูดมาหลายครั้งว่า แอปเตอร์เรายังมี เทียร์ 1 และ เทียร์ 2 ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้นำมาดำเนินการเลย ทั้งที่น่าจะเป็นหัวใจหลักในการสนองตอบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งแอปเตอร์ เพราะในส่วนนี้ เรามีข้าวสำรองที่เรียกว่าearmarked stock อยู่ถึง 787,000 ตัน ซึ่งในปริมาณดังกล่าวปรากฏว่าตั้งแต่ผมเข้ามาเป็น จีเอ็ม มีการทำสัญญาล่วงหน้าหรือ Forward contract อยู่ครั้งเดียวที่เคยเขียนเล่าไปแล้วระหว่างญี่ปุ่น กับ ฟิลิปปินส์ ในจำนวนข้าว 10,000 ตัน ส่วนเทียร์ 2 ซึ่งมีการซื้อขายแบบเงินเชื่อนั้น ยังไม่มีเลย ความจริงแล้ว การที่จะมีหรือไม่มีนั้น ขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกเป็นหลัก ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายสำนักเลขานุการที่จะต้องพยายามชักชวนให้ประเทศสมาชิกสนใจเข้ามาร่วมกิจกรรม สาเหตุที่ทั้งเทียร์ 1 และ 2 ยังไม่มีกิจกรรมเท่าที่ควร ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ สภาวะการขาดแคลนข้าว หรือการที่ข้าวในท้องตลาดมีราคาสูงมาก ยังไม่เกิดขึ้น เหมือนเมื่อปี 2008 ดังนั้น ตลาดข้าวจึงเป็นของผู้ซื้อ ประเทศผู้นำเข้าข้าวสามารถที่จะเลือกซื้อข้าวจากประเทศผู้ผลิตใดๆ ก็ได้ แต่ตรงกันข้ามจากเมื่อปี 2008 ที่ตลาดเป็นของผู้ขาย ราคาข้าวสูงมาก ทำให้ประเทศผู้ซื้อเดือดร้อนมาก ต้องจ่ายค่าข้าวแพงกว่าเดิมมาก แถมยังถูกผู้ขายเล่นตัวอีก เจ็บกันไปทั้งบาง และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งในการจัดตั้งแอปเตอร์ขึ้นมา
ผมได้เคยอ่านบทวิเคราะห์ของนักวิชาการต่างประเทศ สรุปว่าแนวคิดและวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งแอปเตอร์ถือเป็นเรื่องดี มีประโยชน์ เพราะเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกประเทศ ทว่า ในทางปฏิบัติ ก็คงยากที่จะมีการช่วยเหลือกันอย่างจริงจังและจริงใจ เพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ประเทศที่ขาดแคลนข้าวก็หวังที่พึ่งพิงจะได้ประโยชน์จากประเทศผู้ผลิตข้าวเหลือส่งออก ขณะที่ประเทศผู้ผลิตข้าวส่งออก ก็หวังที่จะได้กำไรจากการขายข้าว จึงเป็นเรื่องที่สวนกระแสและหาจุดสมดุลยาก รวมทั้งท้าทายต่อเจตนารมณ์ของแอปเตอร์ อันนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากองค์กรช่วยเหลืออย่าง World Food Program(WFP) หรือ AHA Center ของอาเซียน ที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแบบให้เปล่าอย่างเดียว
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี