ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับชาติ
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กล่าวว่า กนช.มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในทุกมิติ ไม่ว่่าจะเป็นการจัดทำนโยบายและแผนแม่บทเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรน้ำที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ การพิจารณาและให้ความเห็นชอบในแผนปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ
นอกจากนี้ยังพิจารณาแผนงบประมาณการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในการจัดทำงบประมาณประจำปี การพิจารณาและให้ความเห็นชอบแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำต่างๆ ตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำเสนอ เป็นต้น
กนช.ในปัจจุบันยังเป็นชุดเดิม ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
อย่างไรก็ตามเมื่อ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ จำเป็นจะต้องมี กนช.ชุดใหม่ขึ้นมาบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
กนช.ชุดใหม่จะประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ ส่วนกรรมการนั้นจะเป็นโดยตำแหน่งจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง 9 คน จากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน และจากผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำอีก 6 คน โดยมีเลขาธิการ สทนช. ปฏิบัติหน้าที่กรรมการและเลขานุการ
จุดเปลี่ยนของ กนช.ชุดใหม่ คือ การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมผ่านทาง กรรมการลุ่มน้ำทั้ง 6 คน ซึ่งจะทำให้สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาทรัพยากรน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะคัดเลือกมาจากกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 22 ลุ่มน้ำ สทนช.ยืนยันว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้ผู้แทนกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 6 คนดังกล่าว จะต้องจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำในแต่ละลุ่มน้ำให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งสทนช.จะดำเนินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2564
เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะได้คณะกรรมการลุ่มน้ำแต่ละลุ่มน้ำ จะองค์การผู้ใช้น้ำให้แล้วเสร็จก่อน เพราะในคณะกรรมการลุ่มน้ำแต่ละลุ่มน้ำนั้นจะต้องมีผู้แทนจากองค์กรผู้ใช้น้ำถึง 9 คน ร่วมเป็นกรรมการลุ่มน้ำด้วย
องค์กรใช้น้ำคือ ผู้ใช้น้ำในระดับรากหญ้า
“องค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้าใจสภาพปัญหาและความต้องการใช้น้ำ สามารถสะท้อนแนวทางแก้ไขปัญหาตรงต่อตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศครอบคลุมในทุกมิติมากยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สทนช.กล่าว
ล่าสุดขณะนี้กลุ่มบุคคลที่สนใจยื่นคำขอจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำกว่า 2,674 องค์กรสทนช.อนุมัติแล้ว 2,487 องค์กร
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำยุคใหม่จะเกีี่ยวโยงกัน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น คือ องค์กรผู้ใช้น้ำ ต่อเนื่องมาระดับลุ่มน้ำ คือ คณะกรรมการลุ่มน้ำ จนถึงระดับชาติ คือ กนช.
จึงมั่นใจได้ว่าภายหลัง กนช.ชุดใหม่ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ก็จะสามารถขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ต้องการให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เป็นไปบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ด้านการบริหารจัดการแหล่งน้ำแบบองค์รวมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติ และรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างเบ็ดเสร็จในแต่ละลุ่มน้ำอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังจะสามารถตอบสนองต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังช่วยเสริมศักยภาพในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอีกด้วย
จะเรียกว่า ปี 2565 เป็นปีเริ่มต้นทุนของการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศก็ว่าได้....
รัฐศักดิ์ พลสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี