สะพานนวรัฐ (ขัวเหล็ก) สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ ข้ามแม่น้ำปิงที่ไหลผ่านเมืองเชียงใหม่
เมืองเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นในสมัยพญามังราย เมื่อ พ.ศ.๑๘๓๙ ชื่อที่ปรากฏในตำนานคือ “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา ในช่วง พ.ศ.๒๑๐๑-๒๓๑๗ เชียงใหม่ได้เสียเอกราชให้แก่กษัตริย์พม่าชื่อบุเรงนอง และได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่านานถึงสองร้อยกว่าปี
จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงช่วยเหลือล้านนาไทยภายใต้การนำของพระยากาวิละ และพระยาจ่าบ้านในการทำสงครามขับไล่พม่าออกไปจากเชียงใหม่ และเมืองเชียงแสนได้สำเร็จ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนาพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเมืองประเทศราชของกรุงเทพมหานคร และมีเจ้าเมืองสืบเชื้อสายของพระยากาวิละ เรียกว่า ตระกูลเจ้าเจ็ดตน ปกครองเมืองเชียงใหม่และเมืองต่างๆในล้านนาขณะนั้น คือ ลำพูน ลำปาง พะเยา และเชียงราย เปลี่ยนฐานะเป็นศูนย์กลางของมณฑลพายัพตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมาจนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ได้มีการปฏิรูปการปกครอง จึงมีฐานะเป็นจังหวัดจวบจนปัจจุบัน
เชียงใหม่ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่สยามเป็นอันมาก ด้วยการส่งส่วยและสิ่งของเข้ามาถวายหลายอย่าง ซึ่งเป็นสินค้าที่ตลาดภายในและต่างประเทศต้องการ คือไม้สักและของป่า เช่น ขี้ผึ้งงาช้าง รวมถึงเครื่องเขิน หัตถกรรมที่ได้รับอิทธิพลตกทอดมาแต่ครั้งตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี เสด็จฯเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๔๖๙
ชาวเชียงใหม่เรียกตัวเองว่า คนเมือง ประกอบด้วยกลุ่มชนหลายเชื้อชาติทั้งที่อาศัยอยู่ดั้งเดิม และเข้ามาใหม่ในยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บผ้าใส่เมือง (พ.ศ.๒๓๔๘) ได้แก่ ลัวะ มอญ ยวน พม่า เงี้ยวหรือไทใหญ่ ยอง และเขิน กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นนอก ส่วนใหญ่เป็นช่างฝีมือและพ่อค้า คือไทเขิน มอญ พม่า ไทใหญ่ ส่วนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นใน เป็นไทยยวน นอกจากนี้ยังมีชาวเขา เช่น อาข่า ลีซอ มูเซอปกาเกอะญอ และคะฉิ่น ซึ่งอาศัยอยู่ตามเขตชายแดนที่ราบสูง
อัตลักษณ์ล้านนาในอดีตหลายประการยังคงมีการสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา และในมโนคติของสังคมทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ ด้านหัตกรรมและงานช่างฝีมือ ได้แก่ เครื่องเขิน เครื่องเงินไม้แกะสลัก น้ำต้น หรือ คนโท ด้านอาหารและการบริโภค ก็จะมีการสอดคล้องกับฤดูกาลที่ค่อนข้างหนาวเย็น มีพืชพักตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รสชาติของอาหารจะมีความเค็ม และเผ็ดเล็กน้อย มีการจัดสำรับลงในพานใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์เรียกว่าโตก บริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ส่วนในด้านความเชื่อและความศรัทธา ก็จะมี หำยนต์ ตุง และโคมยี่เป็ง ปรากฏให้เห็นอยู่ตามสถานบ้านเรือน และในพิธีกรรมของแต่ละท้องถิ่น
นอกจากนี้ ในด้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็เป็นที่ประจักษ์ และทำรายได้ให้ชุมชนไม่น้อย ด้วยผ้าฝ้ายที่นำไปย้อมสีน้ำเงินหรือสีดำ เรียกว่าม่อฮ่อม ส่วนการละเล่น การแสดง ก็จะมีฟ้อนเล็บ
กับ ซึง สะล้อ ที่ใครได้ชมได้ฟัง ก็จะเพลิดเพลินใจเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนของความเนิบช้า สวยศิลป์ เป็นเสน่ห์เฉพาะที่งดงามยิ่ง
ในอดีตแม้จะผ่านคราบรอยของสงครามมายาวนาน แต่บรรพบุรุษของเราก็ได้กอบกู้จนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสงบทุกครั้ง ในปัจจุบันสถานการณ์โรคโควิด-19 กำลังระบาดหนักทั่วโลก เสมือนหนึ่งเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่พวกเราต่างต้องร่วมกันกอบกู้ให้โลกกลับมาสวยงามและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระภาพเช่นเดิม ดังนั้นการจะไป เยือนเชียงใหม่ในช่วงนี้ ควรต้องศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์จากการอ่านกันไปก่อน เมื่อวันใดที่สถานการณ์คลี่คลาย เราจะได้ออกท่องเที่ยวให้หนำใจ พร้อมความรู้จากร่องรอยของตำนานที่จะทำให้การเดินทางสนุกมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี