หากเรามองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่าหน้าประวัติศาสตร์ของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาได้บันทึกเรื่องราวการเกิดโรคระบาดที่รุนแรงและน่ากลัว มีผู้คนเจ็บป่วย และเสียชีวิตดั่งใบไม้ร่วงในเวลาอันรวดเร็ว คนสมัยก่อนจะเรียกโรคระบาดว่า “โรคห่า”หรือ “ห่าลง”
ในอดีตยังไม่มีวิธีป้องกันและควบคุมโรค ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อจำเป็นต้องพากันหนี โดยปล่อยคนป่วยทิ้งไว้ จนกลายเป็นบ้านร้างเมืองร้างผ่านไปนานนับปีเมื่อแน่ใจว่าโรคซาจึงกลับมา โรคห่าที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ชัดเจนว่าเป็นโรคอะไร แต่ตามพระราชบัญญัติสำหรับโรคระบาด พ.ศ. ๒๔๕๖ ระบุไว้ ๓ โรค คือ กาฬโรค อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ
ในถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีโรคห่าระบาดอยู่หลายครั้ง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ มีผู้เสียชีวิตถึง ๓ หมื่นคน ภายในเวลา ๑๕ วัน มีหลักฐานชี้ชัดว่าโรคห่าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอหิวาตกโรค เนื่องจากก่อนผู้ป่วยเสียชีวิตจะมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง มีภาวะขาดน้ำ โดยการระบาดเริ่มมาจากอินเดียสู่ไทย ผ่านทางปีนัง และหัวเมืองฝ่ายตะวันตกจนเข้ามาถึงสมุทรปราการและพระนคร ซึ่งตอนนั้นมีการใช้แม่น้ำลำคลองเป็นหลัก ทั้งกินทั้งถ่าย ไม่มีระบบประปาหรือการจัดสุขาภิบาล ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
สมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ยังคงมีการระบาดอยู่ จากบันทึกระบุว่า ภายในเดือนเดียวมีผู้เสียชีวิต ๑,๕๐๐-๒๐,๐๐๐ คน แต่สมัยนั้นเริ่มมีมิชันนารีเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น มีหมอร่วมเดินทางมาด้วย และได้นำแนวทางการรักษาแบบแผนตะวันตกเข้ามารักษา
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีการนำสูตรยาวิสัมพญาใหญ่ และยาน้ำการบูรหยอดรักษาผู้ป่วย ทำให้การแพร่ระบาดลงลง เป็นช่วงขณะเดียวกันที่นายโรเบิร์ต น็อกซ์ ได้ค้นพบสาเหตุการเกิดอหิวาตกโรคว่ามาจากสัตว์ตัวเล็กๆที่อยู่ในน้ำ ที่เป็นต้นตอของอาการป่วย เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีเชื้อโรค ทำให้มีการระมัดระวังดูแลความสะอาดของน้ำกินน้ำใช้กันมากขึ้น เริ่มมีการจัดการด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการจัดระบบน้ำ การจัดสุขาภิบาล มีการทำส้วมหลุม มีการจัดตั้งบริษัทจัดเก็บถังส้วม ด้วยเหตุนี้ทำให้โรคติดต่อที่เคยแพร่ระบาดในอดีตอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้
เริ่มมีการปลูกฝีเพื่อป้องกันไข้ทรพิษ ในยุคนี้ช่วงที่หมอบรัดเลย์นำเข้ามาเผยแพร่ รวมถึงยาสลบที่เริ่มเข้ามาใช้ในประเทศไทยหลังจากที่มีการค้นพบไม่ถึง 10 ปี ทำให้การแพทย์สมัยใหม่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็มีโรคระบาดขึ้นมาอีก เป็นการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สแปนิชฟูล มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกมากมายถึง ๒๐-๔๐ล้านคน เลยทีเดียว
จนปัจจุบันเมื่อโรคระบาดได้เดินทางมาปั่นป่วนคร่าชีวิตมนุษย์ครั้งใหญ่อีกครั้ง ทุกประเทศต่างประสบปัญหาในการสูญเสียในทุกด้านไม่ต่างกัน
สำหรับในประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ พระมหากษัตริย์ผู้ปิดทองหลังพระ ผู้สืบสาน รักษาและต่อยอด โครงการต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ทรงงานอยู่เบื้องหลังหลายอย่าง รวมทั้งปัญหาการเกิดโรคระบาดนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนพระราชหฤทัย
พระองค์ทรงห่วงใยประชาชน และทรงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ทรงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด พระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินมาตรการต่างๆ ในอันที่จะควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ทรงให้การช่วยเหลือ ซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาล ๒๗ แห่งช่วยโรงพยาบาลทหารผ่านศึกและโรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งพระราชทานรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยเคลื่อนที่ รถพระราชทานรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ รถต่อพ่วงชีวนิรภัย และรถเอ็กซเรย์ระบบดิจิทัลแก่กระทรวงสาธารณสุข สำหรับปฏิบัติงานเชิงรุกในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้สถานการณ์ได้คลี่คลายโดยเร็ว ประชาชนจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขภายใต้ร่มพระบารมีอีกครั้ง
หากพลิกย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์การเกิดโรคระบาดคราใด เสมือนจะเตือนชาวไทยว่า หนักหนาแค่ไหนเราก็ผ่านมาแล้ว แต่กับสถานการณ์ปัจจุบันที่ดูเหมือนว่านอกจากประชาชนต้องต่อสู้กับโรคร้ายแล้ว ยังมีเรื่องของการต่อสู้กันทางความคิดเห็นที่แตกต่าง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ครอบครัว การศึกษา และอีกหลายปัญหาที่เกิดผลกระทบตามมา ผลพวงของเชื้อร้ายครั้งนี้ถือว่าเป็นความท้าทายของทุกฝ่ายที่ต้องคอยแก้ปัญหา และจัดการให้จบโดยเร็วที่สุด
นาทีนี้ ถ้าไม่บอกตัวเองว่า สู้ๆ.. ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี