วันนี้ 11 ก.ค.56 พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดี เจ้าคณะปกครองภาค 10 เจ้าคณะปกครองจังหวัดศรีษะเกษ เจ้าคณะปกครองอำเภอ กันทราลักษร์ เจ้าคณะปกครองตำบลยาง เจ้าคณะปกครองจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะปกครองอำเภอเมืองอุบลราชธานี และเจ้าคณะปกครองตำบลในเมือง รวม 7 รูป โดยกล่าวหาละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ไม่ตรวจสอบการตั้งสำนักสงฆ์ของหลวงปู่เณรคำ และไม่เร่งรัดดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำปราชิกพ้นจากการเป็นสงฆ์ นอกจากนี้ยังร้องทุกข์กล่าวโทษ นายสนอง วรอุไร นายสุขุม วงประสิทธิ์ และพระภูมินทร์ ภูรปัญโญ อ้างสนับสนุนหลวงปู่เณรคำให้มีการฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นดีเอสไอรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมนิมนต์ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ในทันที
พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า อาตมายื่นหนังสือต่อนายธาริต เพ็งดิษบ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อกล่าวโทษ ดร.สนอง วรอุไร กับพวก รวม 3 คน ที่ปั้นอรหันต์นายคำ ขึ้นมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วทำให้ก่อกำเนินอรหันต์จอมปลอมลวงโลกจนเดือดร้อนต่อพระพุทธศาสนา ขอให้ดีเอสไอไปสืบค้นตามข้อมูลที่ให้ พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าคณะปกครอง ซึ่งน่าจะเข้าหลักคดีอาญาที่ว่าด้วยรับของโจรและประพฤติผิดหลักการปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหลักฐานพร้อม และรับราชสักการระของนายคำมาตลอด 10 ปี หมายถึงเจ้าคณะภาค 10 เจ้าคณะจังหวัดศรีษะเกษ และเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลที่ที่พักสงฆ์ของนายคำตั้งอยู่ ที่ผ่านมาได้ละเว้นต่อการปฎิบัติหน้าที่ เพราะนายคำได้ติดป้ายว่าเป็นสำนักสงฆ์ ทั้งที่ไม่มีสิทธิใช้ได้เพียงที่พักสงฆ์ แต่ไม่มีการดำเนินการ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นวัดจึงบริจาค ทั้งที่มีเจ้าคณะปกครองได้เข้าออกแต่ไม่มีการให้ปลดป้าย ทั้งที่บางแห่งถูกสั่งปลดป้ายที่บอกว่าเป็นวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียง 1-2 สัปดาห์ จึงกล่าวหาว่าช่วยเหลือและปกป้องมาตลอดทั้งที่ความผิดปรากฎชัดก็ไม่ทำอะไร ตามพระธรรมวินัยนายคำต้องปราชิกตั้งแต่กล่าวอวดอุตริแล้ว มีปราชิกข้ออื่นอีกมาก ยังดึงเกมส์ช่วยเหลือกระทบต่อพระพุทธศาสนา ถ้าทำตั้งแต่สัปดาห์แรก ยึดหลักพระธรรมวินัยจะหยุดความเสียหายได้
เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวอีกว่า ตามพระวินัยนายคำไม่มีสิทธิใช้คำว่าพระเณรนำหน้า เพราะในพระวินัยข้อหนึ่งกล่าวชัดว่าภิกษุอยู่ในที่ลับตากับหญิงสองต่อสองมีบุคคลควรเชื่อได้มากล่าวโจทย์โดยด้วยอาบัติอะไรก็ให้ปรับตามอาบัตินั้น อาตมาก็กล่าวโจทย์ไปว่าเป็นอาบัติปราราชิก เพราะภาพเห็นชัดและก่อนหน้านี้คนที่ใกล้ชิดทราบดีว่าเค้าได้เสพเมถุณมาเนื่องๆ มีชื่อของพระเลขาฯ ที่มีน้องคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อของนายคำหรือเอามาให้นายคำได้เสพเมถุณ พระองค์นี้ก็ยังติดต่อรับใช้ถือเป็นพระเลขาฯ ก็มีชื่อเป็นหลักฐานที่นำมามอบให้ดีเอสไอ เค้าทำกันมาเป็นสิบปี เรื่องนี้อาตมาพูดมาหลายปีแต่ไม่มีใครเชื่อ หาว่าอาตมาอิจฉาตาร้อน แต่จริงแล้วมันปล้นสะดมทำลายศาสนา ที่จริงถ้าเกิดขึ้นใหม่ๆแล้วคณะสงฆ์จัดการตั้งแต่สัปดาห์สองสัปดาห์ คงไม่เยิ่นเย้อถึงขนาดนี้ แต่เพราะคณะสงฆ์ยังเห็นดีเห็นงามกับรากที่เค้าทำให้ เจ้าคณะปกครองยังชื่นชม ขนาดว่าคำกล่าวว่า พระชั่วๆ ยังมีคนไหว้ดีกว่าพระดีๆ แล้วไม่มีคนไหว้
พระสุวิทย์ ธีรธัมโม กล่าวอีกว่า แม้เมื่อวานยังมีการพูดในลักษณะมีการนำเอานายคำไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ไม่น่าเชื่อจะออกจากปากผู้ใหญ่เจ้าคณะปกครอง จึงเป็นอะไรที่อาตมาไม่มั่นใจต่อกระบวนการตุลาการของคณะสงฆ์ อาตมาบอกว่ายังมีพระรูปอื่นอีกที่มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ตราบใดที่ยังละเลยอีกไม่นานคงได้ยินข่าวแถวสมุทรสาคร และนครปฐม คงมีข่าวเกี่ยวกับรถหรู เจ้าเจ้าคณะปกครองยังละเลย เดี่ยวจะเกิดนายคำ 2 3 4 5 ทำลายบั่นทอนศัทธาชาวบ้าน สิ้นหวังต่อการนับถือพระพุทธศาสนา วันนี้จึงมาให้ข้อมูลดีเอสไอลงไปตรวจสอบ เรื่องตามกฎหมายคณะสงฆ์ตั้งแต่ละเมิดอาบัติด้วยการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ ผิดจรรยาพระสังญาธิการ และถือว่าบกพร่องหน้าที่อย่างร้ายแรง ละเว้นหน้าที่ และรับของโจร ที่อาตมาวิเคราะห์ได้ว่าเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นตั้งแต่เจ้าคณะภาพ 10 ธรรมยุทธ จนถึงเจ้าคณะตำบลในถิ่นที่นายคำอาศัยอยู่ มีความบกพร่อง และผิดวินัยจึงประมวลมาพร้อมหลักฐาน จึงให้ดีเอสไอเพื่อหวังว่าไปสืบค้นและยึดคืนสมบัติของคนเหล่านั้นเอากลับมาสู่สาธารณะหรือศาสนาส่วนกลาง หรือคืนให้กับเจ้าทุกข์ อาตมาร้องทุกข์กล่าวโทษถึงบุคคลหรือกลุ่มนิติบุคคลที่ปั่นนายคำมาด้วย
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอสอบสวนพบหลวงปู่เณรคำ ซื้อรถเบนซ์ 22 คัน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท จากเบนซ์อุบลราชธานี ล่าสุดวันนี้ตนได้รับผลการตรวจสอบล่าสุดจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฎิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ ว่าดีเอสไอได้พบรถยนต์หลายยี่ห้อของหลวงปู่เณรคำเพิ่มอีก 35 คัน มูลค่ากว่า 28 ล้านบาท เป็นการซื้อรถด้วยเงินสดมาจากหลายแหล่งในชื่อของหลวงปู่เณรคำ ส่วนจะใช้เงินอะไร เอาไปไหน ไปแจกใคร หรือมีพฤติการณ์ฟอกเงินหรือไม่ดีดีเอสไอกำลังตรวจสอบ เราได้บัญชีจากลูกศิษย์ที่เป็นผู้ดำเนินการไปซื้อรถ กำลังสอบว่าซื้อมาจากไหน ราคาเท่าไหร่ ไปอยู่กับใคร โอนไปอย่างไร ส่วนคนที่รับรถจากหลวงปู่เณรคำ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี เช่น หากเณรคำนำรถไปบริจาคให้วัดซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะหรือไม่มีหรือมีไม่เพียงพอ ทางงวัดก็รับไว้โดยสุจริต เอามาใช้ในกิจกรรมของสงฆ์ ไม่ใช่เอามาเป็นเครื่องประดับ เราต้องเข้าใจทางวัดที่รับไม่น่ามีอะไรผิด ต้องดูบริบทเป็นเรื่องๆ จะเหมาหมดไปกล่าวหาว่า ใครรับรถไว้ผิดหมดคงไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลลับที่หลวงปู่อิสระให้ท่านขอไม่ให้เปิดเผย เราจะปรึกษากับ พศ.จะไม่ทำอะไรพละการ โดยจะทำรอบคอบ ชั้นนี้เป็นเพียงการกล่าวหา ส่วนการตรวจดีเอ็นเอของพ่อแม่เณรคำ เจ้าหน้าที่กำลังหาวิธีดำเนินการต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย แต่ได้ญาติใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำมาตรวจดีเอ็นเอแล้ว ส่วนพ่อแม่หลวงปู่เณรคำบังคับตรวจดีเอ็นเอตามกฎหมายบังคับไม่ได้ แต่ดีเอสไอจะหาวิธีให้ผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาให้ได้ ส่วนกรณีมีข่าวหลวงปู่เณรคำ หลบหนีไปสหรัฐอเมริกา พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ได้หารือกับ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ ว่ากรณีเหล่านี้จะติดตามประสานงานกับต่างประเทศอย่างไร คงได้แนวทางปฎิบัติระหว่างประเทศต่อไป
นายธาริต กล่าวอีกว่า ส่วนการจะออกหมายจับ เรา 5 หน่วยงาน ประสงค์จะให้หลวงปู่เณรคำพ้นจากความเป็นพระก่อน เมื่อเป็นนายเราก็สะดวกใจในการขอหมายจับ คิดว่าเราเลือกวิธีการที่สุดมันไม่ได้ฉุกเฉินขนาดนั้นเพราะไปอยู่เมืองนอกแล้วจึงไม่ฉุกเฉินต้องรีบจับเพื่อไม่ให้หลบหนีออกนอกประเทศการขอหมายจับพระเป็นสิ่งที่เราไม่พึ่งปฎิบัติ ต้องสอิบถามจากสำนักงานพระพุทธศาสนา(พศ.) ตนไม่อยากก้าวล่วง ดีเอสไอทำอย่างเต็มที่โดยแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำพ้นสภาพ อย่างไรก็ตาม แต่เรามีเวลาในการรอว่าแค่ไหน แต่ละประเทศมีอำนาจอธิปไตย การจะไปใช้อำนาจไปสอบไปจับข้ามประเทศทำไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือในนิติต่างๆ ตามขั้นตอน เรื่องนี้ไม่ได้ทำงานล่าช้า ส่วนความผิดที่เราตั้ง 8 ประการ ก็เป็นการตั้งเบื้องต้นต้องหาพยานหลักฐานมาสนนับสนุนให้เพียงพอการแจ้งข้อกล่าวหาและการส่งสำนวนฟ้องต่อัยการ ต้องใช้เวลา
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีข่าวกองปราปปราม เตรียมออกหมายจับหลวงปู่เณรคำ หลวงปู่เณรคำถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญา ก็ดำเนินอาญาได้หลายหน่วย แต่เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน กฎหมายดีเอสไอจึงเขียนไว้ว่าถ้าเป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอต้องแจ้งให้หน่วยอื่นทราบเพื่อจะได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้ดีเอสไอภายใน 3 วัน ตนไม่แน่ใจว่าหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งกองปราบหรือยัง ระหว่างนี้ถ้ากองปราบเห็นว่าไปทำอะไรจะเป็นประโยชน์ กับคดีกองปราบทำก็ไม่เสียหาย เป็นการเสริมซึ่งกันละกันสุดท้ายความรับผิดชอบจะมาอยู่ดีเอสไอ เป็นการช่วยการทำงาน
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฎิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ข้อมูลว่ามีลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำคนหนึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ซื้อรถให้พระองค์รูปดังกล่าว ดีเอสไอจึงลงพื้นที่สืบสวนจนเจอตัวจากการสอบสวนเบื้องต้นพยานคนดังกล่าวให้การว่า เป็นผู้จัดซื้อรถยนต์ 35 คัน ด้วยเงินสด ประมาณ 28 ล้านบาท ให้หลวงปู่เณรคำ โดยหลวงปู่เณรคำจะเป็นคนกำหนดรุ่นว่าให้ซื้อรถยนต์รุ่นไหนเอาออฟชั่นอะไรบ้าง ก่อนที่พยานจะดำเนินการจัดซื้อให้ทั้งหมดของรถล็อตตี้ จากนั้นได้นำรถไปจดทะเบียนกับขนส่งและมีการนำรถล็อตนี้ไปแจกทั้งหมดแล้ว ดีเอสไอกำลังสอบสวนรายละเอียดจากพยานคนดังกล่าวว่าไปซื้อรถที่ใด วันเวลาใดบ้าง ส่วนพยานคนดังกล่าวเกรงเรื่องความปลอดภัยจึงไม่อยากเปิดเผยตัว สำหรับการซื้อรถเบนซ์ของหลวงปู่เณรคำที่ตรวจพบครั้งแรก 22 คัน มูลค่า 95 ล้านบาท และรถล็อตนี้อีก 35 คัน มูลค่า 28 ล้านบาท ตนยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วหลวงปู่เณรคำมีเจตนาอะไรกันแน่ ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นการสร้างภาพหรือทำไปทำไม หรือเป็นการนำเงินบริจาคมาจัดซื้อรถเป็นล็อตๆ แล้วขายออกไปหรือไม่ ดีเอสไอขอเวลาตรวจสอบอีกระยะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี