นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เป็นต้นมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในทุกมิติ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ การอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกร การสนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรในการปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถทำการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนากลุ่มเกษตรกรให้เข้าสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ที่มีกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน ซึ่งผลจากการดำเนินงาน ได้ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง เกิดความร่วมมือการมีส่วนร่วมในการช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรดินเพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกได้อย่างยั่งยืนเต็มศักยภาพ ได้ผลผลิตสินค้าอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อชีวิตทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ
นายสำรอง อำพนพงษ์ หมอดินอาสาประจำตำบลสามัคคี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็นผู้ได้รับรางวัลหมอดินอาสาดีเด่น กรมพัฒนาที่ดิน ประจำปี 2564 และเป็นเกษตรกรอีกคนหนึ่งที่เข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) จนประสบความสำเร็จ ลดรายจ่าย สร้างรายได้ต่อเนื่อง เปิดเผยว่า เดิมที่มีอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียว แต่ประสบปัญหาเรื่องของคุณภาพดิน เนื่องจากเป็นชุดดินจักราช (Ckr) กลุ่มชุดดินที่ 40 พบปัญหา คือ ดินเป็นกรด เนื้อดินค่อนข้าง
เป็นดินทราย มีปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ พืชที่ปลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำได้ง่าย การทำนาในช่วงแรกจึงทำให้ได้ผลผลิตน้อยมาก ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่หลังจากได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมจากกรมพัฒนาที่ดินและหน่วยงานต่างๆในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งการศึกษาดูงานแปลงเกษตรที่ประสบความสำเร็จจากหลายๆ พื้นที่ จึงได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนามาทำเกษตรผสมผสาน โดยแบ่งพื้นที่ 31 ไร่ เป็นนาข้าว 18 ไร่ ปลูกข้าวข้าวเหนียวพันธุ์ กข.6 และข้าวขาวมะลิ 105 ปลูกพืชผสมผสาน จำนวน 5 ไร่ ซึ่งจะมีทั้ง ไม้ผล เช่น มะม่วง กล้วยน้ำว้า ปลูกพืชผักสวนครัว ส่วนใหญ่เป็นผักท้องถิ่นเช่น ผักปังบัวบก ผักชี มะเขือ มะนาว ตะไคร้ ผักหวานป่า ปลูกไม้ตัดดอก เช่น ดาวเรือง เยอบีร่า เป็นต้น ปลูกอ้อยคั้นน้ำ 2 ไร่ เลี้ยงสัตว์ 1 ไร่ สระน้ำ 4 ไร่ สำหรับสำรองน้ำไว้ใช้ในแปลงเกษตร และเลี้ยงปลา เลี้ยงกบ และเป็นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ โดยกรมพัฒนาที่ดินได้แนะนำให้แก้ไขปัญหาสภาพดิน ด้วยการใช้โดโลไมท์ ปรับปรุงบำรุงดิน ปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ปอเทืองถั่วพร้า แล้วไถกลบ และปรับรูปแบบแปลงนาให้ใหญ่ขึ้น ทำคันนาตามแบบการอนุรักษ์ดินและน้ำของกรมพัฒนาที่ดิน ด้วยการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินส่วนการจัดการดินในการปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น จะใช้ปุ๋ยหมักจากสารเร่งซุปเปอร์พด.1 ในการเตรียมหลุมเพาะปลูก ใช้น้ำหมักชีวภาพจากสารเร่งซุปเปอร์พด.2 ฉีดพ่นต้นไม้ผลในระยะเจริญเติบโต และระยะที่ไม้ผลกำลังติดดอกและใช้เศษฟางข้าวคลุมโคนต้น เพื่อรักษาความชื้นในดิน การจัดการดินในแปลงปลูกข้าว จะปรับปรุงบำรุงดินด้วยการใช้ปุ๋ยหมักในการเตรียมดินก่อนการเพาะปลูก และใช้น้ำหมักจากสารเร่งซุปเปอร์ พด.7 ในการไล่เพลี้ยและแมลงที่รบกวนในแปลงปลูกข้าว และไถกลบตอซังหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแทนการเผาตอซัง
นายสำรอง บอกอีกว่า หลักการทำเกษตรผสมผสานของตน คือปลูกหลายสิ่งที่อยากกิน ทำหลายๆ สิ่งที่เราต้องการ เพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และสร้างรายได้ วางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มที่ โดยทั้งหมดจะเป็นการปลูกแบบอินทรีย์ ไม่มีการใช้สารเคมี หรือปุ๋ยเคมีในการผลิต เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและผู้บริโภค ผลผลิตที่ได้ส่วนหนึ่งไว้บริโภคในครัวเรือน เหลือจึงนำไปจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นและจำหน่ายที่หน้าสวน ทำให้มีรายได้เฉลี่ย 10,000-15,000 บาทต่อเดือน จากการทำเกษตรอินทรีย์และมีการปรับปรุงบำรุงดินมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตามลำดับ และยังได้รับคัดเลือกจากกรมพัฒนาที่ดิน ให้พื้นที่ทำการเกษตรของตนเองเป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินเมื่อปี พ.ศ. 2555
“เกษตรกรที่ต้องการทำเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีใจรักและมีความอดทน ไม่หวังผลเพียงแค่ระยะสั้นเพราะเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน ลด ละ เลิกใช้สารเคมีทุกชนิดในแปลงเกษตร รวมถึงต้องปลูกพืชสร้างแนวกันชนเพื่อป้องกันละอองเคมีจากแปลงข้างๆ เข้าสู่แปลงเกษตรของเรา เพื่อความสมบูรณ์ทางชีวภาพในระบบนิเวศและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามสมดุลของธรรมชาติให้มากที่สุด ซึ่งอาจจะใช้เวลา 1-2 ปี จึงจะเป็นอินทรีย์ได้ 100% แต่สิ่งที่ได้คือ คุณภาพดิน สภาพแวดล้อมในแปลงเกษตรจะค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ มีอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตจะลดลง ในขณะที่ตัวเราเองก็จะมีสุขภาพที่ดีขึ้น และที่สำคัญจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ความตั้งใจต่อจากนี้ไป คือต้องการเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ ให้เยาวชน คนรุ่นใหม่และเกษตรกรทั่วไป นำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมในพื้นที่ของตนเอง ให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาและการปรับปรุงบำรุงดิน เพราะเมื่อดินดี ก็จะนำไปสู่การทำเกษตรที่ยั่งยืน” นายสำรอง กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับเกษตรกรที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเว็บไซต์กรมพัฒนาที่ดิน ไอคอนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (https://www.ldd.go.th/Web_PGS/index.html) หรือ โทร.0-2579-4194 สายด่วน 1760
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี