ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในครั้งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่มีรายชื่อที่ถูกอภิปราย ด้วยเพราะผลงานเข้าตาฝ่ายค้าน โดยเฉพาะผลงานการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำหรือเปล่าไม่รู้....?
แม้บางครั้งจะไม่ได้ลงพื้นที่เอง แต่ก็สั่งการและมอบหมายตัวแทนโดยเฉพาะ ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่กำลังจะเกษียนอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2564 นี้ ลงพื้นที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำท่วมแล้ง คุณภาพน้ำ อยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดเมื่อวันก่อน ดร.สมเกียรติ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมรับมือน้ำหลากในพื้นที่ จ.เพชรบุรีบริเวณคลองระบายน้ำ D9 ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
“รัฐบาลให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเพชรบุรี เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะ จ.เพชรบุรี ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนักในช่วงปี 2559 – 2561 ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เร่งด่วน ภายใต้โครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ใช้แนวทางระบายน้ำออกทะเลอ่าวไทยให้เร็วที่สุด” เลขาธิการ สทนช.กล่าว
จากการดำเนินแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เร่งด่วนดังกล่าว ทำให้ฤดูฝนในปี 2563 ที่ผ่านมาตัวเมืองเพชรบุรีไม่ได้รับกระทบจากน้ำท่วมแต่อย่างใด โดยได้บริหารจัดการน้ำผ่านคลองระบายน้ำ D9 ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างฯ ลงสู่อ่าวไทยโดยตรง สามารถตัดมวลน้ำบางส่วนจากคลองชลประทานสาย 3 และหน่วงน้ำหน้าเขื่อนเพชรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ยังสั่งการให้ ดร.สมเกียรติตรวจความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตาม 10 มาตรการของรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์ฝนตกหนัก โดยเฉพาะหากมีพายุจรเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าในเดือนกันยายนจะมีปริมาณฝนตกเพิ่มมากขึ้น
โดยได้เร่งให้แก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ เตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และสร้างความเข้าใจกลุ่มผู้ใช้น้ำ ผู้นำท้องถิ่น เพื่อแจ้งเตือน เฝ้าระวัง สถานการณ์น้ำล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ลุ่มน้ำเพชรบุรีมีแหล่งน้ำเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเก็บกักรวม 434 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 61% ของความจุ ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกประมาณ 276 ล้านลบ.ม. และเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปริมาณน้ำ 208 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 53% ของความจุ ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกมากกว่า 180 ล้านลบ.ม.
“สทนช.จะเร่งรัดแผนงานโครงการปรับปรุงคลองระบายน้ำ D1 และคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา RMC1 พร้อมอาคารประกอบ ซึ่งช่วยเพิ่มการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยรวมทั้งสิ้น550 ลบ.ม./วินาที นอกเหนือจากการใช้คลอง D9 เพียงเส้นทางเดียวที่อาจมีข้อจำกัดไม่สามารถระบายน้ำได้ทันเมื่อมีปริมาณน้ำมาก ซึ่งกรมชลประทานมีแผนดำเนินการในปี 2566-2569 ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจออกแบบ” เลขาธิการ สทนช.กล่าว
ถ้าหากสามารถดำเนินการก่อสร้างคลอง D1 ได้ ก็จะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากของจ.เพชรบุรี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จ.เพชรบุรี ได้อย่างยั่งยืนนั้น ได้มีการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์และแผนหลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พบว่า นอกจากการดำเนินงานตามแผนงานที่กล่าวมาแล้ว ยังจะต้องดำเนินมาตรกรอื่นๆ ด้วย เช่น เพิ่มความจุและปรับปรุงอาคารระบายน้ำล้นเขื่อนแก่งกระจาน เพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ประจันต์ เพิ่มช่องทางระบายน้ำเพื่อผันน้ำจากแม่น้ำเพชรบุรีลงสู่ทะเล ปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งสถานีอัตโนมัติวัดน้ำฝนและน้ำท่าในพื้นที่ต้นน้ำใช้มาตรการผังเมือง เป็นต้น
“บิ๊กป้อม” แม้จะพูดน้อย อายุมาก แต่ต้องยอมรับน้ำ ขยันทำงาน บ่อยครั้งที่ลงพื้นที่เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานโครงการต่างๆ ด้วยตนเอง ถ้าติดภารกิจก็จะให้เลขาธิการ สทนช.ลงพื้นที่แทน เพื่อให้แก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำเกิดผลเป็นรูปธรรม.....ไม่ได้เชียร์นะครับ แต่ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์
รัฐศักดิ์ พลสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี