ฉบับก่อนพูดถึงว่า หลายคนวิจารณ์ว่า ข้าว earmarked ของแอปเตอร์จำนวน 787,000 ตัน ประชาชนอาเซียนบวกสามกินกันเพียงวันสองวันก็หมดแล้ว มีคำถามว่าแล้วจะพอหรือ หากเกิดปัญหาข้าวขาดแคลนจริง ประเด็นนี้ในความเห็นผมเองก็ว่าน่าคิดคำนึงอยู่ แต่ทว่าเหตุการณ์ Worst Case แบบที่ว่าทุกประเทศขาดแคลนหมด ไม่มีข้าวกินเลย เข้าใจว่าคงจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เป็นแน่ หรือหากแม้จะเกิดขึ้นจริง ผมว่าทุกอย่างก็คงจะล่มสลายไปก่อนที่ทุกประเทศจะหันมาพึ่งพิงระบบแอปเตอร์มากกว่า ดังนั้นแนวคิดหรือระบบของแอปเตอร์จึงเป็นจินตนาการของการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปจนขนาดแบบสุดโต่งอย่างที่ว่าแน่นอน ด้วยเหตุผลนี้ ระบบของแอปเตอร์จึงเป็นหลักประกันในยามปกติว่า แม้ประเทศใดที่เผอิญประสบภัยพิบัติจนผู้คนอดอยาก ก็ยังมีที่พึ่งแหล่งสุดท้ายที่สามารถนำมาเจือจุนเยียวยาความอยู่รอดของประชาชนผู้หิวโหยได้ อีกทั้งในการช่วยเหลือ เราก็คงจะดูว่าใครหนักกว่าใคร และแน่นอนว่าเราควรจะต้องช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาที่หนักกว่าก่อนคนอื่น ทั้งนี้เนื่องจากเรามีระบบการประเมินที่ชัดเจน โดยคนตัดสินใจสุดท้ายก็คือผู้แทนสมาชิกทุกประเทศที่ประกอบเป็นมนตรีแอปเตอร์ หรือ Council นั่นแหละครับ
อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า รูปแบบการดำเนินงานของแอปเตอร์ได้ถูกศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและออกแบบอย่างดีโดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและองค์การระหว่างรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี อาศัยประสบการณ์ที่เคยจัดตั้ง ASEAN Emergency Rice Reserve หรือ AERR ที่เคยมีการลงนามก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1979 หรือ 42 ปีมาแล้ว และได้วิวัฒนาการมาบวกรวมประเทศเอเชียตะวันออก คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เข้ามาและเปลี่ยนเป็น EAERR หรือ East Asia Emergency Rice Reserveการดำเนินงานก็ได้มีการพัฒนาเพื่อประโยชน์ของมวลสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างได้ชัด จนในที่สุด ทั้ง 13 ประเทศ ก็ได้มีฉันทานุมัติให้จัดตั้งเป็นองค์การระหว่างชาติถาวรภายใต้ชื่อ ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve หรือ APTERR ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมกล่าวเรื่องนี้มาหลายครั้ง เพราะต้องการจะเล่าต่อไปว่า ด้วยชื่อเสียงและสิทธิประโยชน์ที่บรรดาสมาชิกแอปเตอร์ได้รับในห้วงระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาทำให้ประเทศทั่วโลกได้ให้ความสนใจในรูปแบบและการทำงานของแอปเตอร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศที่ยากจนและขาดแคลนอาหารบริโภคในแถบทวีปแอฟริกา ซึ่งต่างสนใจที่จะดำเนินการจัดตั้งองค์กรแบบนี้บ้างในกลุ่มประเทศเหล่านั้น
แต่ในที่สุดก็ยังจัดตั้งไม่ได้ เพราะอะไรผมเองก็ไม่ทราบเหตุผลชัดๆ ประการหนึ่งที่ผมวิเคราะห์เอาเอง ก็คือ ในบรรดาสมาชิกที่จะประกอบขึ้นเป็นองค์กรแอปเตอร์นี้ ส่วนหนึ่งต้องเป็นประเทศที่สามารถผลิตพืชอาหารได้อยู่บ้าง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งอาจผลิตไม่ได้ทว่าก็ยังเป็นประเทศที่มีรายได้จากทางอื่นได้ตามสมควร เสมือนหนึ่งว่ามีความสมดุลในด้านศักยภาพเพื่อการแสวงหาอาหารอยู่บ้าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในส่วนของประเทศอาเซียน คือ เรามีกลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตข้าวอยู่ 3-4 ประเทศขณะเดียวกันเราก็มีประเทศผู้ขาดแคลนข้าว แต่มีรายได้จากด้านอื่น ในทางตรงกันข้ามหากกลุ่มประเทศที่จะมารวมเป็นองค์กรแบบนี้ ถ้าทุกประเทศไม่มีศักยภาพการผลิตพืชอาหาร หรือไม่มีพื้นที่เพาะปลูกพืชดังกล่าวเลย ก็เป็นการยากยิ่งที่ความร่วมมือรูปแบบนี้จะถูกผลักดันให้เกิดขึ้นได้ นับว่าเป็นความโชคดีของประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากเราจะมีองค์ประกอบสำคัญครบถ้วนแล้ว เรายังมีประเทศบวกสามที่ร่ำรวยๆ มาช่วยค้ำจุนอีก
ชาญพิทยา ฉิมพาลี
chanpithya@apterr.org
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี