การทำนาปีในปีนี้ บางพื้นที่อาจล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากปัญหาฝนทิ้งช่วงนานต่อเนื่อง ทำให้ที่หว่านไว้บางส่วนแห้งตาย แต่เมื่อได้ฝนในช่วงท้ายๆ ฤดูกาล ข้าวเริ่มฟื้นตัว และคาดว่าจะสามารถเติบโต ได้ทันในระยะเวลาที่เหลือนับจากนี้ อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำฝนที่ตกดังกล่าว อาจไม่เพียงพอต่อการทำนาปรังปี’65 เพราะส่วนใหญ่เป็นการตกท้ายเขื่อน
นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่คาดว่าปีนี้จะมีพายุ เข้ามาประเทศไทยอย่างน้อย 2 ลูกนั้น ปริมาณน้ำจะมีมาก กระทรวงเกษตรฯจึงวางแผนเพาะปลูกเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยการระบายน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อให้ชาวบางระกำทำนาปีก่อนใคร ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 และมีแผนทยอยทำนาใน 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยาตามลำดับเพื่อให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูน้ำหลากที่จะเกิดขึ้นในเดือน ส.ค.-ต.ค. ทุกปีเป็นแก้มลิงที่ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากน้ำที่ขังอยู่นี้ทำอาชีพประมงได้ด้วย
อย่างไรก็ตามแผนการเพาะปลูกดังกล่าว สามารถระบายน้ำเพื่อปลูกข้าวในพื้นที่บางระกำเท่านั้นประมาณ 2.65 แสนไร่ น้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมาที่เคยส่งน้ำให้ได้มากที่สุดถึง 3.8 แสนไร่ ในขณะที่อีก 12 ทุ่งเจ้าพระยา ไม่สามารถส่งน้ำได้เลย เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะได้จากพายุ ไม่มีตามที่คาดเอาไว้ ฝนที่ตกในช่วงนี้เกิดจากร่องมรสุมทั้งสิ้น และเป็นฝนที่ตกตามฤดูกาลปกติ อีกทั้งฝนที่ตกดังกล่าว ยังตกท้ายเขื่อน ไม่สามารถกักเก็บได้ ทั้ง 4 เขื่อนหลักปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างไม่ถึง 50% ดังนั้นกรมชลประทานจึงเข้มงวดบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนให้มากที่สุดในฤดูแล้งปี 2564/65 ในขณะที่ต้องขอความร่วมมือการทำนาปรังในพื้นที่ที่เหมาะสมเท่านั้น
“ข้าวนาปี ส่วนใหญ่จะอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก เกษตรกรจะหว่านก่อนแล้วรอรับน้ำฝน เมื่อฝนทิ้งช่วงนาน ข้าวก็จะเสียหาย ในปีนี้ฝนทิ้งช่วงนานกว่า 3 เดือน ถือว่าเสี่ยงมาก แต่พอฝนตกแล้งช่วงท้ายๆ ฤดู ข้าวก็ฟื้นตัว ซึ่งได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม แก้ไขปัญหาพร้อมให้คำแนะนำเพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวที่ดีที่สุด”
สำหรับน้ำที่เข้าท่วมในบางพื้นที่ตั้งแต่ จ.พระนครศรีอยุธยาลงมานั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันช่วยเหลือโดยใช้การบริหารเชิงระบบคลองต่างๆ เพื่อไล่น้ำลงลำน้ำเจ้าพระยา และใช้เขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท เป็นเครื่องมือทดน้ำ ซึ่งจากการเฝ้าระวังปริมาณน้ำที่ไหลลงมาปริมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาทีนี้ คาดว่าตัวเขื่อนจะสามารถรับมือได้
“หลังจากนี้ปริมาณฝนจะลดลงและหันหน้าลงทิศใต้กันหมดแล้ว ฝนในปีนี้จึงถือว่าน้อยมาก ต่อไปต้องจับตาดูการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ที่ต้องเข้มงวดให้เป็นไปตามแผนน้ำที่มีอยู่ใน 4 เขื่อนหลักต้องให้ความสำคัญกับการอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศ ก่อนจากนั้นจึงจะใช้เพื่อรักษาพืชยืนต้น ส่วนข้าวจะเป็นเรื่องหลังๆ เพราะใช้น้ำมาก”
สำหรับผลกระทบจากร่องมรสุม ต่อภาคการเกษตรตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2564-ปัจจุบัน พบว่า ด้านพืช ได้รับผลกระทบ 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร เชียงใหม่ ตาก น่าน แพร่ พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน สุโขทัย นครราชสีมา เลย ปราจีนบุรี และจังหวัดระยอง เกษตรกร 17,194 ราย พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 135,113 ไร่ แบ่งเป็นข้าว 116,135 ไร่ พืชไร่และพืชผัก 15,072 ไร่ ไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่นๆ 3,906 ไร่ อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย ด้านประมง ได้รับผลกระทบ9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร แพร่ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ลำปาง ลำพูน นครราชสีมา เลย และจังหวัดกรุงเทพฯ เกษตรกร 2,626 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบ (บ่อปลา) 2,508 ไร่ กระชัง 284 ตร.ม.อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย
ด้านปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดพิษณุโลก เกษตรกร 5,001 รายสัตว์ได้รับผลกระทบ 89,200 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ 1,446 ตัว สุกร 802 ตัว แพะ-แกะ 561 ตัว สัตว์ปีก 86,391 ตัว แปลงหญ้า 10 ไร่ อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย เพื่อเยียวยาตามระเบียบราชการต่อไป
ส่วนสภาพน้ำใน 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณรวม 1.02 หมื่นล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 41% ของความจุ เป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 3.5 พันล้านลบ.ม. หรือ 19% ของปริมาตรน้ำในอ่างฯ แยกเป็นเขื่อนภูมิพล มีปริมาตรน้ำ 5.3 พันล้าน ลบ.ม. หรือ 40% ของความจุอ่างฯ ปริมาตรที่ใช้การได้1.56 พันล้าน ลบ.ม. หรือ 16% ของปริมาตรน้ำในอ่างฯ เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตร 3.9 พันล้านลบ.ม. หรือ 41% ของความจุ ปริมาตรที่ใช้การได้ 1 พันล้าน ลบ.ม. หรือ 16% ของปริมาตรน้ำในอ่างฯ
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตร 604 ล้าน หรือ 64%ของความจุ เป็นน้ำใช้การได้ 561 ล้าน ลบ.ม. หรือ 63% ของปริมาตรน้ำในอ่าง และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตร 327 ล้านลบ.ม. หรือ 34% ของความจุ เป็นน้ำใช้การได้ 324 ล้าน ลบ.ม. หรือ 34% ของปริมาตรน้ำในอ่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี