‘อัจฉริยะ’ ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีวัดท่าพุราษฎร์บำรุง หลังตกเป็นข่าวดัง เผยผู้ที่มาบำบัดเป็นพวกเหลือขอ-ไม่พบการค้ามนุษย์ ขณะที่ติดใจปมเงินสนับสนุนจาก ป.ป.ส. ภาค 7 คาดมีเงินทอน 70%
ความคืบหน้ากรณี นายจีรพันธ์ แสงขาว หรือ หมอปลา พร้อมด้วย นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ นำคณะสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดคืนคนดีสู่สังคม (วิถีพุทธ นำสุขสู่สังคม) วัดท่าพุราษฎร์บำรุง หมู่ 10 ต.ด่านมะขามเตี้ย อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี หลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองของอดีตผู้บำบัดชายรายหนึ่งว่า ถูกซ้อมทรมาน ให้ทำสัญญาและเรียกเก็บเงิน หากจะออกมาก็ต้องจ่ายเงิน โดยมีผู้บำบัดอยู่กันอย่างแออัดประมาณ 300 คน แต่มีห้องน้ำเพียง 2 ห้อง พร้อมตั้งคำถามว่า ศูนย์ที่ตั้งขึ้นมาเป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดหรือไม่ และวันเดียวกัน พระครูปลัดประสิทธิ์ รตินฺธโร เจ้าอาวาสวัดท่าพุราษฎร์บำรุง ได้มรณภาพลงก่อนที่ทางทีมงานของทนายไพศาล จะเดินทางมาถึงที่วัดเพียง 15 นาที เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา
หลังจากที่ นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ทราบเรื่อง ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้น และแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการประสาน ผบ.มทบ.17 สนับสนุนรถและกำลังทหารร่วมทำการขนย้ายผู้บำบัด จำนวน 254 คน ไปพักรอเป็นการชั่วคราวที่ รพ.สนาม (เขาชนไก่) ซึ่งตั้งอยู่ภายในค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี ในคืนนั้นทันที โดยมีผู้ปกครองและญาติทยอยมาติดต่อของรับตัวกลับไป จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 23 ก.ย.64 ผู้บำบัดชุดสุดท้าย จำนวน 19 คน ได้เดินออกจาก รพ.สนาม ด้วยรถบรรทุกกำลังพลของ มทบ.17 ไปพักรอที่บ้านหมอปลาใน จ.เพชรบุรี เพื่อรอผู้ปกครองและญาติมารับ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้ว นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ 28 ก.ย.64 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อภิชาติ ศรีทองกุล รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.พิพัฒน์ รุ่งสัมพันธ์ ผกก. (สอบสวน) ภ.จว.กาญจนบุรี เพื่อขอข้อมูลเบื้องต้น โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
โดย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เปิดเผยเบื้องต้นว่า ตนเชื่อมั่นว่า เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อเสียงด้านการบำบัดรักษาผู้ป่วย รวมทั้งคนทั่วไปก็พูดกันปากต่อปากว่าวัดนี้สามารถรักษาผู้ติดยาเสพติดและวิกลจริตให้หายได้ และแต่ละรุ่นก็มีผู้ที่หายจากอาการป่วยเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่มีชื่อเสียงมากขึ้น ทำให้มี ผู้ปกครองและญาติส่งบุตรหลานที่เป็นผู้ป่วยมาทำการรักษามาขึ้น ในขณะที่สถานที่บำบัดมีขนาดเท่าเดิม
ซึ่งก็ต้องไปดูว่า งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ได้รับมาเต็มจำนวนหรือไม่ มีการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ และแผนผังของการบำบัดใครเป็นผู้กำกับควบคุมดูแล มีหน่วยงานรัฐรับรองหรือไม่ และการเรียกเก็บเงินแรกเข้า 10,000 บาท และรายเดือนอีกเดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งการมีผู้เสียชีวิตในสถานบำบัดที่แท้จริงเกิดจากสาเหตุใด เพื่อให้ทุกประเด็นเกิดความชัดเจน และสิ้นข้อครหา ไม่เช่นนั้นสังคมก็จะคิดว่า สถานบำบัดแห่งนี้เป็นนรก แต่ถ้าหากมองในภาพรวม มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เกิดจากปริมาณคนที่มีจำนวนมากไม่สมดุลกับพื้นที่ที่จำกัด จึงต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทั้งนี้ ผู้ป่วยแต่ละคนที่มาบำบัด ก็จะมีหัวหน้าของแต่ละสายคอยดูแลอยู่ โดยแบ่งเป็นซุ้มใครซุ้มมัน เช่น ผู้ป่วยที่มาจากภาคอีสาน ก็จะมีผู้ดูแลคนหนึ่ง หรือผู้ป่วยที่มาจากสุพรรณบุรี ก็จะมีผู้ดูแลอีกคนหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ก็ต้องไปดูว่ามีค่าใช้จ่ายกันอย่างไร และจัดการกันอย่างไร เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ก็คงจะต้องตรวจสอบในทุกมิติ หากพบการกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะนี้ตนมีข้อมูลเบื้องต้นอยู่แล้ว และได้ร่วมกับ ตร.ภ.จว.กาญจนบุรี ในการรวบรวมข้อมูล ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ได้ไปพูดคุยกับทางกองปราบมาแล้วส่วนหนึ่ง เบื้องต้น ไม่พบว่ามีการค้ามนุษย์ และยังไม่พบว่าสถานที่นี้กระทำผิดกฎหมายตามที่ถูกร้องเรียน แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส จึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัดทุกขั้นตอน ทั้งในเรื่องของการอนุญาตและงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน ทำไมผู้ป่วยมาเข้ารับการบำบัดจนล้น มีการควบคุมดูแลกันอย่างไร กรณีทางผู้ดูแลแจกคูปองวันละ 60 บาท แต่ทำไมถึงมีประเด็นเรื่องข้าวบูด รวมทั้งเรื่องของแผลที่เกิดขึ้นตามผิวหนังเกิดจากอะไร ทั้งๆ ที่เดิมมีแพทย์ที่รักษาด้านสมุนไพรอยู่ด้วย
เชื่อว่าศูนย์บำบัดแห่งนี้ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์แต่อย่างใด เพราะผู้ที่มาบำบัดเหล่านี้เป็นผู้เสพยาจนประสาทหลอน และวิกลจริต จึงหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่กล้าที่จะพามาเอง จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ควบคุมบุคคลเหล่านั้นมาส่ง ซึ่งแท้ที่จริงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาบำบัดที่นี่เป็นพวกเหลือขอแล้ว จากการได้พูดคุยกับพ่อแม่ของผู้ป่วย บอกว่า รับไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ทำร้ายคนในบ้านหรือทำลายทรัพย์สินหรือบุคคลอื่นขึ้นมาเมื่อไร บางคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวหลายครั้ง แต่ก็ยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม จนกระทั่งพ่อแม่ทนพฤติกรรมไม่ไหว คนในหมู่บ้านเองก็ไม่ยอมรับแล้ว จึงต้องส่งมาที่ศูนย์บำบัดแห่งนี้ แท้ที่จริงก็ไม่ได้ส่งมาที่ศูนย์แห่งนี้แห่งเดียว พบว่าส่งไปที่ศูนย์ทางภาคเหนือก็มี ทั้ง จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย แต่ไม่ได้เป็นข่าวเท่านั้น
สำหรับกรณีที่ระบุว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 20,000 บาทนั้น เป็นค่าแรกเข้าศูนย์บำบัด ส่วนที่เหลือก็เป็นค่าเดินทาง ซึ่งการเดินทางไป-กลับ มีระยะทางที่ไกล เช่น จาก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด , จ.กาฬสินธุ์ รวมทั้งค่าเสี่ยงภัยด้วย ซึ่งระหว่างทางคนพวกนั้นอาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ศูนย์แห่งนี้ปิดตัวลง ตนมองว่า หากบุคคลที่กลับออกไปจากที่นี่แล้วไปก่อเหตุทำร้ายเด็ก ผู้หญิงและคนอื่นๆ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของเขาเหล่านั้น ดังนั้นจะต้องมาดูว่า จะต้องนำคนเหล่านี้ไปรักษาและบำบัดที่ไหนต่อ มีที่ไหนรองรับหรือไม่ แต่ขณะนี้เราจะต้องมาดูก่อนว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไร ซึ่งต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนเสียก่อน
ต่อจากนั้น พ.ต.อ.อภิชาติ ศรีทองกุล รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.พิพัฒน์ รุ่งสัมพันธ์ ผกก.สอบสวน ภ.จว.กาญจนบุรี และ นายอัจฉริยะ ได้เดินทางไปที่ สภ.ด่านมะขามเตี้ย เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก พ.ต.อ.อัฑฒาสิษฏฐ์ พุ่มเกตุแก้ว ผกก.สภ.ด่านมะขามเตี้ย โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 30 นาที
จากนั้น นายอัจฉริยะ ได้เดินทางไปที่วัดท่าพุราษฎร์บำรุง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจาก พระชาญวิทย์ ชิตมาโร พระเลขาฯ และ นายสมเกียรติ โอนอ่อน คนสนิทของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นผู้ที่อดีตเจ้าอาวาสมอบอำนาจให้เป็นผู้เบิกเงิน เพื่อตรวจสอบเงินเข้า-ออกในบัญชีของวัด โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
จากเอกสารเบื้องต้นพบว่า ในปีงบประมาณปี 2563 ได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด จำนวน 50 ราย ในระยะการบำบัดฟื้นฟู รวม 5 เดือน (คนละ 5,000 บาท) ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 และเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ป.ป.ส.ภาค 7 ได้มีหนังสือแจ้งถึงผู้อำนวยการศูนย์สงเคราะห์บำบัดฯ เรื่องที่ทางคณะอนุกรรมการเงินอุดหนุนด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 7 ได้อนุมัติงบประมาณ 420,000 บาท ตามที่ศูนย์สงเคราะห์บำบัดฯ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ปี 2564 โดยระบุให้ติดต่อรับเช็คได้ที่ ป.ป.ส.ภาค 7 เป็นค่าอาหารสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการบำบัดฯ รวม 7 เดือน (คนละ 7,000 บาท x 60 คน)
โดย นายอัจฉริยะ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนติดใจปมเงินสนับสนุนจาก ป.ป.ส. เพราะเท่าที่ทราบคือ หากงบฯ สนับสนุนจำนวน 100,000 บาท ก็จะให้เจ้าอาวาสแค่ 3 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนงบประมาณปีล่าสุดจำนวน 420,000 บาท ก็ต้องไปตรวจสอบดูว่า ทอนไปเท่าไร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่วัดได้รับเงินสนับสนุนจาก ป.ป.ส.ก็จะถูกหักเงินทอนไปถึง 70% จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น
จากการดูพื้นที่จริง พบว่า ห้องน้ำก็มีประมาณ 30 ห้อง ไม่ใช่มีเพียง 2 ห้องตามที่ถูกร้องเรียน ส่วนสถานที่อาจจะคับแคบ แออัด เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมาก จากที่รับได้ประมาณ 50-60 คน แต่ปัจจุบันมีผู้ป่วยถึง 247 คน ส่วนในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาด ก็เป็นความรับผิดชอบของผู้ที่มาบำบัดทำกันเอง ประกอบกับความแออัดของสถานที่ นอนกับพื้น การอยู่รวมกันจึงเกิดปัญหา และเกิดอาการผื่นคันขึ้นได้
ทั้งนี้ ทางวัดจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของอาหารอยู่ที่วันละ 5,000 บาทต่อวัน เดือนละประมาณ 150,000 บาท ซึ่งอาจมีผลต่อปริมาณของอาหารในแต่ละวัน และวัดแห่งนี้ก็ไม่ได้มีการกักขัง โดยกลางวันจะเปิดให้ผู้ป่วยออกมาภายนอกเรือนนอนได้ และทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งสวดมนต์ แต่กลางคืนต้องกักไว้เพราะเกรงจะไปก่อเหตุได้ ทั้งนี้จะมีในช่วง 2 เดือน เท่านั้นที่ผู้บำบัดไม่ได้ทำกิจกรรม เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทางวัดเกรงว่าจะมีการติดเชื้อได้
.
009
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี